ความเป็นมาและความสำคัญทางประวัติศาสตร์เชิงปรัชญาของการศึกษาภาษาภาพผ่าน นิยาม Mimesis และ Image
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ
ความเป็นมาและความสำคัญของภาษาภาพในประวัติศาสตร์เชิงปรัชญาของมนุษย์
การศึกษาภาษาภาพ (Visual Language) มักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือในการสื่อสารที่มีความสำคัญมากกว่าการเพียงแค่สะท้อนสิ่งที่มนุษย์เห็นในโลกภายนอก ภาษาภาพไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการรับรู้และตีความภาพในชีวิตประจำวัน แต่เป็น การสร้างความหมายที่ลึกซึ้ง โดยผ่านการใช้ Mimesis (การเลียนแบบ) และ Image (ภาพ) ที่มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับปรัชญาและทัศนคติของมนุษย์เกี่ยวกับโลกและสังคมในแต่ละยุคสมัย
การเริ่มต้นตั้งคำถามเกี่ยวกับ การรับรู้ภาพ เกิดขึ้นในยุคกรีกโบราณ ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการตีความเชิงปรัชญาเกี่ยวกับโลกและความจริงที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ในงานศิลปะ กรีกโบราณเป็นต้นกำเนิดของการตั้งคำถามว่าภาพที่มนุษย์เห็นนั้นคือ ความจริงที่แท้จริง หรือไม่? หรือแค่เพียงการสะท้อนและการตีความที่ถูกกำหนดโดยสังคมและระบบความเชื่อ? ความหมายของ Mimesis และ Image เป็นตัวขับเคลื่อนคำถามเชิงปรัชญาที่สำคัญในการพัฒนา ภาษาภาพ ที่สะท้อนถึงทัศนคติของมนุษย์ในการมองโลก
การเปลี่ยนแปลงจาก เทวนิยม สู่ มนุษยนิยม และความสำคัญของภาษาภาพ
ในช่วงที่ เทวนิยม (Theocentrism) ควบคุมสังคมยุคกลาง ภาษาภาพถูกใช้เพื่อ สะท้อนอำนาจทางศาสนา ศิลปะเป็นเครื่องมือที่ใช้สร้าง การเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ผ่านการเลียนแบบในรูปแบบของ Mimesis โดยศาสนจักรถือว่า ภาพเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสื่อสารคำสอนทางศาสนาและการแสดงภาพพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ สังคมในยุคนี้มองว่าการรับรู้ทางภาพนั้นเชื่อมโยงกับ การตีความผ่านศาสนา ซึ่งเป็นการกำหนดความจริงที่ถูกต้อง แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วง Renaissance ในยุค มนุษยนิยม (Humanism) กลับมอง มนุษย์ เป็นศูนย์กลางของจักรวาล และมองว่า ภาพ ที่สร้างขึ้นในงานศิลปะสามารถสะท้อน ความเป็นมนุษย์ และ ความเป็นจริง ที่มนุษย์สามารถเข้าใจและสัมผัสได้ด้วยตนเอง การพัฒนา Perspective ในยุค Renaissance ไม่เพียงแค่สร้างภาพที่สมจริงจากการมองเห็นโลกภายนอก แต่ยังเน้นการ มองเห็นจากมุมมองของมนุษย์ ซึ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงจากการมอง พระเจ้า เป็นศูนย์กลางของโลกไปสู่การมองโลกในแบบที่มนุษย์สามารถ เข้าใจโลกและสร้างความหมายใหม่ได้ด้วยตนเอง.การมองภาพในมุมมนุษยนิยม ทำให้การรับรู้ภาพไม่ได้เพียงแต่เป็นการสะท้อนความจริงของศาสนาหรือโลกภายนอก แต่เป็นการ สร้างความหมาย และ สร้างอำนาจทางภาพ ที่สะท้อนถึงวิธีที่มนุษย์สามารถ ตีความ และ แสดงออกในทางศิลปะ ที่ไม่เพียงแต่แสดงถึงการรับรู้สิ่งที่มีอยู่จริงในโลกภายนอก แต่ยังเป็นการสร้าง ความจริงใหม่ ที่เกิดจากการใช้ จินตนาการและ การสร้างสัญลักษณ์ ในการสื่อสารความคิด
ภาษาภาพ เป็นกระบวนการที่ศิลปะและการออกแบบใช้เพื่อสื่อสารกับผู้ชม โดยผ่านสัญลักษณ์ รูปร่าง สี และองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งเป็น การแปลความหมายจากสิ่งที่เห็น ไปยังโลกแห่งการตีความ มันเป็นเครื่องมือในการสะท้อนความคิดและอารมณ์ภายในของผู้สร้าง แต่ก็เป็นเครื่องมือในการ กำหนดความหมาย และ อำนาจ ที่มนุษย์ใช้เพื่อควบคุมการรับรู้และการตีความของผู้ชม การพัฒนาของภาษาภาพมีการเริ่มต้นจาก Mimesis ที่มาจากปรัชญากรีกในยุคของ เพลโต และ อริสโตเติล ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเข้าใจภาษาภาพในงานศิลปะ การเลียนแบบธรรมชาติและความเป็นจริงใน Mimesis ส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่มี ความเป็นจริงเชิงทฤษฎี ในขณะที่ Image เป็นการสร้างรูปภาพที่ไม่ได้เป็นการเลียนแบบ แต่เป็นการสะท้อนจินตนาการและความคิดของมนุษย์
Mimesis: การเลียนแบบและการสะท้อน
คำว่า Mimesis (ภาษากรีก: μίμησις) มีรากฐานในปรัชญาของ เพลโต และ อริสโตเติล โดยคำนี้หมายถึงการเลียนแบบธรรมชาติ หรือการแสดงออกซ้ำจากความเป็นจริง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ศิลปินใช้ในการสะท้อนสิ่งที่เห็นในโลกภายนอกให้กลายเป็นงานศิลปะ ในมุมมองของเพลโต การเลียนแบบหรือ Mimesis เป็นการห่างไกลจากความจริงแท้ ซึ่งตามทฤษฎีของเขาภาพหรือศิลปะเป็นเพียงเงาของความจริงที่อยู่ในโลกอุดมคติของสสาร (The World of Forms)
Mimesis หมายถึงการเลียนแบบธรรมชาติหรือการสร้างงานศิลปะที่สะท้อนถึงความเป็นจริงที่สมบูรณ์แบบซึ่ง เพลโต เชื่อว่าโลกที่เรามองเห็นคือ เพียงเงาของโลกอุดมคติ (World of Forms) เท่านั้น งานศิลปะที่เลียนแบบธรรมชาติจึงเป็น เพียงการสะท้อน ของความจริง ซึ่งไม่ได้เข้าถึงความจริงที่สมบูรณ์แบบ
เพลโต มีทัศนคติที่วิจารณ์การใช้ Mimesis ในงานศิลปะ โดยเฉพาะในเชิงศีลธรรมและจริยธรรม เขาเห็นว่าศิลปะที่เลียนแบบโลกภายนอกไม่สามารถให้ความจริงแท้ได้ เนื่องจากมันเป็นเพียงเงาของโลกที่สมบูรณ์แบบที่เขาเรียกว่า โลกของอุดมคติ(World of Forms) ซึ่งภาพในศิลปะจะเป็นการเบี่ยงเบนจากความจริงแท้และสามารถบิดเบือนความเข้าใจของผู้ชมได้
Allegory of the Cave ของเพลโต: ความสัมพันธ์ระหว่างภาพและการตีความ
ทฤษฎี Allegory of the Cave ของเพลโตในงานเขียนเรื่อง The Republic เป็นการสะท้อนถึง ความแตกต่างระหว่างโลกของเงาและโลกแห่งความจริง ในทฤษฎีนี้ เพลโตใช้ถ้ำเพื่ออธิบายถึงสภาพของมนุษย์ที่ถูกจำกัดให้มองเห็นแค่เงาบนผนังถ้ำ ซึ่งเปรียบเสมือนภาพหรือสัญลักษณ์ที่เราเห็นในโลกนี้ สิ่งที่เราเห็นหรือรับรู้ไม่ได้สะท้อนความจริงอย่างเต็มที่ เพราะมันเป็นเพียงเงา (Mimesis) ของความจริงที่แท้จริงอยู่ในโลกของอุดมคติ
ตัวละครใน Allegory of the Cave คือผู้ที่พยายามออกจากการมองเห็นเพียงแค่เงาและมองเห็นความจริงที่อยู่นอกถ้ำ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับการที่ การรับรู้ภาพในงานออกแบบ ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำให้ผู้ชม “หลุดพ้น” จากการรับรู้ที่เป็นเพียงเงาและไปถึงการมองเห็นสิ่งที่มีความหมายและการตีความที่ลึกซึ้งมากขึ้น
ทฤษฎี Diegesis และ Mimesis ในการเล่าเรื่อง
ในด้านของการเล่าเรื่อง, Diegesis และ Mimesis เป็นสองกระบวนการสำคัญในการสร้างประสบการณ์ของการรับรู้ ในขณะที่ Mimesis คือการแสดงหรือการจำลองสิ่งที่เห็นในโลกจริง เช่น การเล่นบทละคร การแสดงหรือการสร้างภาพในงานศิลปะ Diegesis คือการบรรยายหรือการเล่าเรื่องที่ไม่มีการแสดงออกมาในรูปแบบที่เป็นภาพ ตัวละครที่ปรากฏในงานเล่าเรื่อง เช่น ตัวละครในภาพยนตร์หรือในหนังสือ เป็นการผสมผสานระหว่าง การเล่าเรื่องแบบ Diegesis (การบรรยาย) และ Mimesis(การแสดงออกทางภาพ)
การใช้ทั้งสองรูปแบบนี้ จะช่วยสร้างความสมดุลในการสร้างประสบการณ์ที่สมจริง และทำให้ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงตัวเองกับตัวละครหรือโลกของเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในทางกลับกัน อริสโตเติล ได้เสนอมุมมองที่แตกต่างออกไปโดยยอมรับการเลียนแบบ (Mimesis) เป็นส่วนสำคัญในศิลปะ เขามองว่า ศิลปะเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้ชมเข้าใจการกระทำและอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งในงานศิลปะสามารถถ่ายทอดความจริงที่อยู่ในธรรมชาติออกมาในรูปแบบที่มีความหมายและสามารถสะท้อนความรู้สึกและประสบการณ์ของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น
อริสโตเติล มีมุมมองที่แตกต่างออกไป โดยเขามองว่า Mimesis เป็นกระบวนการที่ ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติและชีวิต เขาเห็นว่า การเลียนแบบโลกธรรมชาติผ่านงานศิลปะช่วยให้ผู้ชมเข้าใจ ความหมายของชีวิต และ ธรรมชาติของมนุษย์ ได้ดียิ่งขึ้น และสิ่งนี้เป็นรากฐานสำคัญในการเข้าใจ Mimesis ในมุมมองของศิลปะเชิงการศึกษา โดยเชื่อว่า การเลียนแบบ (Imitation) เป็นวิธีการที่ศิลปะนำไปสู่การทำความเข้าใจชีวิตและธรรมชาติ การแสดงภาพในงานศิลปะสามารถทำให้ผู้ชมเข้าใจจิตใจและอารมณ์ของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง และ Mimesis ไม่เพียงแค่เลียนแบบธรรมชาติ แต่ยังรวมถึงการถ่ายทอดอารมณ์และความหมายจากผู้สร้าง
จากการพัฒนาแนวคิดดังกล่าว คำว่า image (ภาพ) จึงมีความแตกต่างจาก Mimesis เพราะ image ไม่จำเป็นต้องเป็นการเลียนแบบ แต่เป็นการสร้างการรับรู้จากจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์เอง โดยในทางทฤษฎี image อาจสะท้อนถึงความหมายที่ลึกซึ้งและมีอิทธิพลมากกว่าการเลียนแบบเพียงอย่างเดียว
Perspective และการแยกออกจากเทวนิยมสู่มนุษยนิยม
Perspective (ทัศนียภาพ) เป็นการพัฒนาในยุค Renaissance (ศตวรรษที่ 14-17) ที่ช่วยให้การมองเห็นโลกมีความสมจริงมากขึ้น ผ่านการใช้กฎของ เส้นขนานที่หายไป (vanishing point) เพื่อสร้างความลึกและมิติในงานศิลปะ การพัฒนา Perspective ทำให้ศิลปะไม่เพียงแค่แสดงภาพสองมิติ แต่กลายเป็นการแสดงภาพที่มีมิติสามมิติ ซึ่งมีการเชื่อมโยงกับ มนุษยนิยม (Humanism) ในยุคนี้ Perspective ที่เกิดขึ้นในยุค Renaissance ถือเป็นการ เปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในการมองโลกจากมุมมองของ เทวนิยม (ที่ศาสนาคือศูนย์กลาง) ไปสู่การมองมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Humanism) การพัฒนา Perspective ทำให้โลกที่เห็นผ่านการใช้ จุดศูนย์กลาง (vanishing point) และ เส้นขนานที่หายไป สามารถแสดงความลึกและมิติที่ทำให้โลกดู สมจริง และไม่เพียงแค่การมองผ่านสายตาของ พระเจ้า แต่เป็น การมองเห็นที่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง
Leonardo da Vinci และ Filippo Brunelleschi เป็นนักศิลปะที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา Perspective ซึ่งทำให้ภาพในงานศิลปะมีความลึกซึ้งและมีมิติที่สะท้อนถึงการรับรู้และการสร้างภาพที่สมจริงในงานศิลปะ
การแยกออกจาก เทวนิยม (Theocentrism) ไปสู่ มนุษยนิยม (Humanism) เกิดขึ้นในช่วง Renaissance เมื่อ ศาสนจักร ที่เคยเป็นศูนย์กลางของอำนาจและความคิดในยุคกลาง เริ่มสูญเสียอิทธิพล และมนุษย์เริ่มกลับมามอง “มนุษย์” เป็นศูนย์กลางของจักรวาลแทนพระเจ้า.
ในแง่ของภาพศิลปะ, Perspective ช่วยให้มนุษย์มองโลกอย่างเป็นระเบียบและมีมิติ โดยการให้ความสำคัญกับ มนุษย์ ในสังคม การใช้ Perspective ทำให้ภาพศิลปะในยุค Renaissance มีความสมจริงมากขึ้น เช่น ผลงานของ Leonardo da Vinciและ Michelangelo ซึ่งภาพเหล่านี้ไม่เพียงแค่แสดงถึงเทพเจ้าหรือบุคคลสำคัญในศาสนา แต่ยังแสดงถึง มนุษย์ ในมิติทางกายภาพและจิตวิญญาณ.
เพลโต vs. อริสโตเติล: วิพากษ์ทางปรัชญาเกี่ยวกับ Mimesis
เพลโต มองการเลียนแบบ (Mimesis) ในงานศิลปะเป็น การเบี่ยงเบนจากความจริง ที่แท้จริงในโลกของอุดมคติ (The World of Forms) โดยเขาเชื่อว่า โลกภายนอก เป็นเพียง เงาของโลกที่สมบูรณ์แบบ และการที่ศิลปะเลียนแบบสิ่งที่เห็นในโลกภายนอกคือการห่างไกลจาก ความจริงที่แท้จริง ซึ่งอยู่ใน โลกอุดมคติ ของเขา ศิลปะที่สะท้อนธรรมชาติและภาพของโลกที่เห็นในชีวิตประจำวันจึงเป็นเพียงแค่การเลียนแบบหรือ Mimesis ที่ไม่มีค่าทางจริยธรรมและศีลธรรม เพราะมันขัดแย้งกับความจริงที่อยู่ในอุดมคติที่เป็น พิมพ์เขียวที่สมบูรณ์แบบ
อริสโตเติล ในทางตรงข้าม ให้ความสำคัญกับ Mimesis ในแง่บวกและเชื่อว่า การเลียนแบบธรรมชาติ ช่วยให้มนุษย์เข้าใจความจริงของโลกและธรรมชาติ เขามองว่า ศิลปะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ชมเข้าใจชีวิตและธรรมชาติ ซึ่งเชื่อว่าเป็นกระบวนการที่ช่วยให้เราเข้าใจและเชื่อมโยงกับโลกของเราผ่านการแสดงออกทางภาพ เช่น ใน บทละคร หรือ การวาดภาพอริสโตเติลเห็นว่าการเลียนแบบโลกไม่เพียงแต่สร้างการรับรู้ที่ลึกซึ้ง แต่ยังทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจความหมายของ การกระทำและอารมณ์ ที่เกิดขึ้นในโลกจริงได้
Diegesis กับ Mimesis: การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครกับตัวบท
Diegesis หมายถึงการ เล่าเรื่อง ที่ไม่แสดงออกมาในรูปแบบของภาพ เช่น การเล่าเรื่องผ่านการบรรยายหรือการใช้คำพูด ในขณะที่ Mimesis คือการ แสดงออกทางภาพ เช่น การแสดงละครหรือการสร้างงานศิลปะที่สะท้อนการกระทำและอารมณ์ของตัวละครในโลกภายนอก
Mimesis และ Diegesis เกี่ยวข้องกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวละคร กับ ตัวบท โดยเฉพาะในเรื่องของการเล่าเรื่องและการแสดงออกในงานศิลปะ ตัวละครใน Diegesis ถูกบรรยายผ่านคำพูดของผู้เล่า (narrator) ซึ่ง ไม่แสดงออกทางภาพ แต่เน้นไปที่การบรรยายเนื้อหาของเรื่อง ในขณะที่ใน Mimesis ตัวละครจะได้รับการ แสดงออกทางภาพ ผ่านการแสดงของนักแสดงหรือการสร้างงานศิลปะที่ สื่อสาร ผ่านการกระทำทางกายภาพ
การที่ Mimesis สร้างภาพจากการแสดงออกทางศิลปะนั้นสามารถ แสดงอารมณ์และการกระทำ ของตัวละครได้ดีขึ้นในขณะที่ Diegesis จะให้ความสำคัญกับ การบรรยาย หรือ การเล่าเรื่อง ซึ่งทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจเรื่องราวผ่านคำพูดมากกว่าภาพ
ความแตกต่างระหว่าง Mimesis กับ Image: การเลียนแบบและการสร้างความหมายใหม่
การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง Mimesis และ Image ในทางปรัชญาและการสร้างงานศิลปะสามารถช่วยให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของการใช้ภาษาภาพจากการ เลียนแบบ ไปสู่การ สร้างความหมายใหม่ โดยทั้งสองแนวคิดนี้มีอิทธิพลอย่างยิ่งในการพัฒนาศิลปะและการออกแบบในแต่ละยุคสมัย
Mimesis: การเลียนแบบและการสะท้อนโลกภายนอก
Mimesis คือ การเลียนแบบ หรือ การสะท้อน ของสิ่งที่มีอยู่จริงในโลกภายนอก แนวคิดนี้ถูกพัฒนาและปรับใช้ครั้งแรกโดย เพลโต และ อริสโตเติล โดยทั้งสองนักปรัชญาใช้คำนี้ในแง่มุมที่ต่างกัน แม้ว่าทั้งสองจะเห็นว่า Mimesis เป็นกระบวนการที่ช่วยให้มนุษย์สามารถเข้าใจโลกและธรรมชาติผ่านการ เลียนแบบ แต่ เพลโต มองว่า Mimesis เป็นการ เบี่ยงเบนจากความจริง ที่แท้จริง โดยเขาเชื่อว่าภาพหรือศิลปะที่เลียนแบบสิ่งภายนอกไม่สามารถเข้าถึง ความจริงที่แท้จริง ในโลกอุดมคติได้ เพราะมันเป็นแค่ การสะท้อน ความจริงที่ไม่สมบูรณ์
อริสโตเติล กลับมอง Mimesis ในทางที่บวกมากขึ้น โดยเชื่อว่า การเลียนแบบ เป็นเครื่องมือในการเข้าใจโลกและชีวิตจริงผ่านการสะท้อนการกระทำและอารมณ์ของมนุษย์ในโลกธรรมชาติ ดังนั้น Mimesis ในมุมมองของอริสโตเติลจึงถือเป็นกระบวนการที่มีคุณค่าในการช่วยให้ผู้ชมเข้าใจ ธรรมชาติของมนุษย์ และ การกระทำในชีวิตจริง ผ่านการแสดงออกในงานศิลปะ
Mimesis ในงานศิลปะ
- การสะท้อนภาพที่มีอยู่จริง: การเลียนแบบหรือการสะท้อนความจริงจากโลกภายนอก เช่น การวาดภาพธรรมชาติหรือการแสดงละครที่สะท้อนชีวิตจริง
- ขีดจำกัดของการเลียนแบบ: แม้ว่า Mimesis จะสามารถสะท้อนชีวิตและธรรมชาติ แต่ก็จำกัดแค่การทำซ้ำสิ่งที่มีอยู่ในโลกภายนอก ไม่ได้สร้างความหมายใหม่
Image: การสร้างความหมายใหม่และการแสดงออกทางจินตนาการ
Image ในที่นี้ไม่ใช่การเลียนแบบสิ่งที่มีอยู่จริง แต่เป็นการ สร้างความหมายใหม่ ผ่านการ ใช้จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และการ ตีความ ของมนุษย์ในแง่ของตัวตน (Identity)และ การสร้างสิ่งใหม่ ที่ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยความจริงที่มีอยู่จริงในโลก
คำว่า Image มาจากคำในภาษากรีกโบราณ “Εἰκών” (Eikón) ซึ่งหมายถึง ภาพ หรือ รูปภาพ แต่ในเชิงปรัชญาที่ลึกซึ้งมากขึ้น Image ไม่ได้หมายถึงแค่ภาพที่สร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบสิ่งที่มองเห็น แต่หมายถึงการ สร้างอัตลักษณ์ หรือ การแสดงออกทางจินตนาการ ผ่านการเลือกใช้ สัญลักษณ์, สี, รูปทรง และ องค์ประกอบอื่น ๆ ที่สะท้อนถึง การสร้างตัวตน (Identity) หรือ การสร้างความหมายใหม่ ที่ผู้สร้างต้องการสื่อ
- การสร้างภาพจากจินตนาการ: Image ในงานศิลปะสามารถสะท้อนความคิดหรือความรู้สึกที่ ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบสิ่งที่มีอยู่จริง เช่น การใช้ สัญลักษณ์ หรือ การสร้างตัวละคร ที่ไม่สามารถพบในโลกภายนอก
- การแสดงออกของอัตลักษณ์: การเลือกใช้ สี รูปทรง และการจัดวางองค์ประกอบในงานศิลปะสามารถสร้าง ความหมายใหม่ หรือ แสดงออกถึงตัวตน ของศิลปิน ซึ่ง ไม่จำเป็นต้องอิงกับโลกจริง
- จินตนาการและสัญลักษณ์: Image อาจไม่จำเป็นต้องมีความสมจริงในเชิงกายภาพ แต่เป็นการสร้างความหมายผ่าน การตีความ ซึ่งสามารถสะท้อนถึง อารมณ์ และ ความรู้สึก ของมนุษย์
เชื่อมโยงระหว่าง Mimesis และ Image: การพัฒนาแนวคิดจากการเลียนแบบไปสู่การสร้างความหมายใหม่
การเชื่อมโยงระหว่าง Mimesis และ Image แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาแนวคิดทางศิลปะและการออกแบบจาก การเลียนแบบไปสู่ การสร้างความหมายใหม่ Mimesis เริ่มต้นจากการ เลียนแบบธรรมชาติ หรือสิ่งที่มีอยู่จริงในโลกภายนอก แต่เมื่อเวลาผ่านไป, Image ได้ขยายขอบเขตออกไปจากการเลียนแบบไปสู่การสร้าง ความจริงใหม่ หรือ สะท้อนความคิด ของศิลปิน ผ่าน จินตนาการ และ การตีความ ของตนเอง
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้หมายความว่า Mimesis เป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ แต่เป็นการ ขยายขอบเขต ของการสร้างสรรค์ในศิลปะไปสู่ การสร้างความหมาย ใหม่ที่สามารถสะท้อนถึง อัตลักษณ์ หรือ ความจริงภายใน ของศิลปินมากขึ้น