ศิลปะคือการแสดงออก: แนวคิดปรัชญาความงามของ R.G. Collingwood

R.G. Collingwood (ค.ศ. 1889–1943) นักปรัชญาชาวอังกฤษผู้เสนอแนวคิด “ศิลปะคือการแสดงออก”

บทนำและพื้นฐานแนวคิดของ Collingwood

R.G. Collingwood เป็นนักปรัชญาชาวอังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่มีผลงานสำคัญด้านสุนทรียศาสตร์ โดยเฉพาะหนังสือ The Principles of Art (1938) ซึ่งเขาได้นำเสนอทฤษฎีศิลปะในฐานะการแสดงออกของอารมณ์ แนวคิดนี้ได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากนักปรัชญาอิตาลี Benedetto Croce ซึ่งเป็นผู้นำทฤษฎีศิลปะแบบแสดงออก (expression theory of art) ในยุคนั้น Collingwood เห็นว่า “ศิลปะที่แท้” (art proper) คือกระบวนการที่ศิลปินแสดงออกหรือถ่ายทอดสภาวะทางจิตใจและอารมณ์ของตนออกมาให้ชัดเจนผ่านผลงานศิลปะ โดยคุณค่าที่แท้จริงของศิลปะมิได้อยู่ที่วัตถุหรือผลงานทางกายภาพ หากอยู่ที่กระบวนการสร้างสรรค์และการแสดงออกซึ่งอารมณ์ความรู้สึกของศิลปินนั้นเอง ผลงานศิลปะภายนอก (เช่น ภาพเขียน บทกวี เพลง) จึงเป็นเพียงสื่อกลางที่ช่วยให้ทั้งตัวศิลปินและผู้ชมสามารถ “เข้าใจ” อารมณ์ที่ถูกแสดงออกนั้นร่วมกันได้ แต่ตัวผลงานภายนอกไม่ใช่แก่นแท้ของศิลปะที่แท้จริง

Collingwood ระบุว่าก่อนที่ศิลปินจะสร้างงาน เขามักจะอยู่ในสภาวะที่รู้สึกถึงความปั่นป่วนทางอารมณ์บางอย่างแต่ไม่ชัดเจน หรือพูดได้เพียงว่า “ฉันรู้สึก…แต่ไม่รู้ว่ารู้สึกอะไร” จนเมื่อได้เริ่มลงมือสร้างงานศิลปะหรือ แสดงออก อารมณ์นั้นออกมาเท่านั้น ศิลปินจึงจะค่อยๆ ตระหนักและเข้าใจธรรมชาติของอารมณ์ที่ตนรู้สึกอย่างชัดแจ้ง[กระบวนการแสดงออกนี้เองที่ทำให้จิตใจของศิลปินเกิดความสว่างและปลอดโปร่งขึ้น จากเดิมที่รู้สึกอึดอัดสับสนก็แปรเปลี่ยนเป็นเข้าใจอารมณ์ของตนเองอย่างถ่องแท้[ Collingwood เรียกผลลัพธ์นี้ว่าเป็นการทำให้อารมณ์ “เบาบาง” ลงในทางจิตใจ ไม่ใช่การระบายออกแบบชั่วครั้งชั่วคราวตามแนวคิด คาธาร์ซิส (catharsis) ของอริสโตเติล แต่คือการได้ ความกระจ่างชัด ในอารมณ์นั้น ซึ่งอาจทำให้อารมณ์เข้มข้นขึ้นด้วยซ้ำเพราะเข้าใจมันดีขึ้น ไม่ใช่ทำให้อารมณ์หมดไปราวกับการระบายความทุกข์[

ศิลปะคือการแสดงออก (Art as Expression)

ทฤษฎีศิลปะของ Collingwood: Collingwood เสนอว่าศิลปะที่แท้ (art proper) คือ การแสดงออกของอารมณ์ความรู้สึกด้วยจินตนาการของมนุษย์ งานศิลปะจึงเปรียบเสมือน “ภาษา” ชนิดหนึ่งที่ใช้ถ่ายทอดสภาวะทางอารมณ์และจิตใจ ในกระบวนการสร้างสรรค์ศิลปะ ศิลปินมิได้มี “แปลน” หรือเป้าหมายตายตัวไว้ล่วงหน้าเหมือนงานช่างฝีมือ (craft) หากแต่ศิลปินค่อยๆ ค้นหาและตกผลึกอารมณ์ของตนระหว่างการสร้างสรรค์งานไปพร้อมกัน กล่าวคือ ศิลปิน ไม่ทราบแน่ชัดล่วงหน้าว่าตนจะถ่ายทอดหรือสื่อสารอะไร จนกว่าจะได้ลงมือแสดงออกผ่านศิลปะนั้นจริงๆการสร้างงานศิลปะสำหรับ Collingwood จึงเป็นกระบวนการค้นพบและทำความเข้าใจอารมณ์ไปพร้อมกับการสร้าง ไม่ใช่การลอกสูตรสำเร็จหรือดำเนินตามแผนที่วางไว้ก่อนแล้ว

การแสดงออก vs. การระบายอารมณ์: Collingwood แยกความแตกต่างระหว่าง “การแสดงออก” (expression) กับพฤติกรรมระบายหรือแสดงอารมณ์ทั่วๆ ไป (เช่น การร้องไห้เมื่อเสียใจ หรือการกระทืบเท้าเมื่อโกรธ) โดยเขาชี้ว่าอาการหลังเป็นเพียง การเผยอารมณ์ (betrayal of emotion) ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวและไม่ได้นำมาซึ่งความเข้าใจใดๆ ต่ออารมณ์นั้น ในทางตรงข้าม “การแสดงออก” ตามความหมายของศิลปะจะต้องมีองค์ประกอบของ ความรู้ตัวและความชัดเจนทางปัญญา — เป็นการทำให้อารมณ์ที่เคยคลุมเครือกลายเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ (clarified) ทั้งแก่ตัวศิลปินเองและผู้อื่นที่รับรู้ผลงา] ผลงานศิลปะที่ดีในทรรศนะของ Collingwood จึงมิใช่สิ่งที่ทำให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกใดความรู้สึกหนึ่งโดยไม่รู้ตัวเท่านั้น แต่คือสิ่งที่ทำให้ผู้ชม “เข้าใจ” อารมณ์หรือประสบการณ์ทางจิตใจบางอย่างที่ถูกสื่อออกมาผ่านจินตนาการของศิลปิน ดังที่ Collingwood ระบุว่าอารมณ์สุนทรีย์ (aesthetic emotion) นั้นไม่ใช่อารมณ์ชนิดพิเศษที่มีอยู่ก่อนแล้ว หากคือสีสันทางอารมณ์ที่พ่วงมากับกระบวนการแสดงออกอารมณ์ใดๆ ก็ตามเมื่อมันได้รับการทำให้กระจ่างชัดผ่านงานศิลปะ[

บทบาทของผู้ชม: ตามแนวคิดนี้ ผู้ชมงานศิลปะมีบทบาทในการนำจินตนาการของตนเองเข้ามา ร่วมรับรู้และตีความ ผลงาน เพื่อ “สร้างประสบการณ์จินตนาการ” ขึ้นในใจตนเองให้สอดคล้องกับที่ศิลปินได้ถ่ายทอดไว้ Collingwood ให้ความสำคัญว่าผู้ชมที่เหมาะสมจะสามารถใช้เบาะแสจากผลงานภายนอก (เช่น สีสัน เสียง คำศัพท์ในบทกวี) ในการจินตนาการสร้างงานศิลปะขึ้นใหม่ในใจของตน ทำให้เข้าใจสภาวะทางอารมณ์หรือจิตใจที่ศิลปินต้องการสื่อได้[ดังนั้น งานศิลปะจริงๆ แล้ว “ดำรงอยู่” ในโลกจิตใจหรือโลกจินตนาการที่ทั้งศิลปินและผู้ชมแบ่งปันร่วมกัน มากกว่าจะอยู่ที่วัตถุสิ่งของตรงหน้า กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ผลงานทางกายภาพ (ภาพเขียน ประติมากรรม บทเพลงที่บรรเลง ฯลฯ) เป็นเพียง สิ่งประกอบ หรือ สื่อกลาง ที่เอื้อให้ผู้ชมเข้าถึงงานศิลปะตัวจริงในจิตใจได้เท่านั้น แต่ตัวงานศิลปะจริงๆ นั้นเป็นอุดมคติ (ideal object) หรือสิ่งจินตนาการที่มิได้ขึ้นอยู่กับการมีอยู่ของวัตถุทางกายภาพนั้นๆ เลยด้วยซ้ำ[ (ตัวอย่างเช่น บทเพลงหนึ่งสามารถ “ดำรงอยู่” ในใจนักแต่งเพลงได้โดยสมบูรณ์แม้ยังไม่ได้ถูกเล่นหรือบันทึกออกมาเป็นเสียง และผู้ฟังเองก็สามารถรับรู้องค์ประกอบของเพลงผ่านการฟังแล้วสร้างจินตภาพของทำนองเพลงขึ้นในใจตนเองใหม่) อย่างไรก็ตาม Collingwood ยอมรับว่ามนุษย์ส่วนใหญ่มีขีดจำกัดทางจินตนาการ จึงยังจำเป็นต้องพึ่งพาผลงานทางกายภาพเป็นเครื่องมือช่วยกระตุ้นจินตนาการเพื่อเข้าถึงงานศิลปะที่แท้

ปฏิเสธทฤษฎีศิลปะแบบเลียนแบบและแบบหัตถกรรม

Collingwood ได้ วิพากษ์ทฤษฎีศิลปะแบบดั้งเดิม ที่มองศิลปะเป็นการเลียนแบบ (imitation or representation) และการประดิษฐ์อย่างช่างฝีมือ (art as craft) ว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากแก่นแท้ของศิลปะ:

  • ศิลปะไม่ใช่การเลียนแบบธรรมชาติหรือชีวิต – Collingwood เห็นว่าทฤษฎีศิลปะแบบมิมีซิส (mimesis) หรือ representation ที่ถือว่าศิลปะคือการลอกเลียนแบบธรรมชาติ/ความเป็นจริงนั้น ไม่สามารถอธิบายศิลปะสมัยใหม่และศิลปะหลายประเภทได้ ในแง่หนึ่ง เขาชี้ว่าหากการสร้างภาพเหมือน (representation) หมายถึงการวางแผนให้ผลงานมีความเหมือนกับต้นแบบในโลกความจริง ศิลปินก็ย่อมต้องรู้ล่วงหน้าว่าผลงานจะหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งนั่นกลายเป็นการทำงานแบบช่างฝีมือ ไม่ใช่ศิลปะที่แท้ ยิ่งไปกว่านั้น Collingwood โต้แย้งแนวคิดที่ว่า “ศิลปะคือการเลียนแบบ” นี้ว่าแม้กระทั่งเพลโตและอริสโตเติลเองก็ไม่ได้มองศิลปะเป็นการเลียนแบบตรงตัวอย่างที่มักเข้าใจกันผิดๆ[20] อีกทั้งในยุคของเขาศิลปะสมัยใหม่ (modernism) เช่นงานนามธรรมที่ไม่ได้เลียนแบบสิ่งใดๆ โดยตรง เริ่มมีบทบาทมาก ทฤษฎีเก่าที่เน้นความเหมือนจริงของภาพหรือเรื่องราวจึงไม่เพียงพอจะนิยามความเป็นศิลปะได้(อันที่จริง Collingwood เองได้อธิบายว่า “การแทนความ” หรือ representation สามารถเข้าใจได้หลายระดับ ตั้งแต่แบบรูปเหมือนจริง, แบบที่ศิลปินปรับแต่งให้ต่างจากความจริงบางส่วน, จนถึงแบบที่แทนสภาวะทางอารมณ์ภายใน เช่น ดนตรีที่บรรยายความรู้สึกบางอย่าง[อย่างไรก็ดี เขายืนกรานว่า การแทนความ ที่ศิลปินรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะสื่ออะไรนั้นเป็นงานฝีมือ ไม่ใช่ศิลปะที่แท้ เพราะศิลปินไม่ได้ค้นพบสิ่งใหม่ในกระบวนการสร้างงาน)
  • ศิลปะไม่ใช่งานหัตถกรรมที่มีสูตรสำเร็จ – Collingwood ต่อต้านแนวคิด Art as Craft ซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่คำว่า technê ของกรีก (ที่เปรียบศิลปินเสมือนช่างฝีมือที่ต้องมีทักษะ เทคนิค และกระบวนการผลิตงานอย่างเป็นขั้นตอน)[ เขาชี้ว่า งานศิลปะจำนวนมากไม่ได้เป็นไปตามคุณลักษณะของงานช่างฝีมือ ที่ต้องมีการวางแผน แยกวิธีการกับเป้าหมายออกจากกัน ใช้วัตถุดิบมาปรุงเป็นผลิตภัณฑ์ ฯลฯ หากนิยามศิลปะด้วยเกณฑ์เหล่านั้น เราจะต้องตัดผลงานศิลปะดีๆ หลายชิ้นออกไปเพียงเพราะมันไม่เข้าเกณฑ์งานช่างฝีมือ[เช่น บทกวีที่ผุดขึ้นในใจของกวีโดยแทบไม่ต้องร่างโครงเรื่องมาก่อน หรือเพลงทำนองหนึ่งที่เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจฉับพลัน—กรณีเช่นนี้ไม่มี “การแยกวัตถุดิบกับผลิตภัณฑ์” หรือ “แยกขั้นวางแผนกับขั้นลงมือทำ” อย่างงานช่างทั่วไป ผลงานยังคงเป็นงานศิลปะที่สมบูรณ์ได้[Collingwood ยอมรับว่าในทางปฏิบัติ ศิลปินจำนวนมากก็ต้องใช้ฝีมือและการวางแผนบางส่วน (เช่น การแต่งโอเปร่าต้องใช้ทักษะทางเทคนิคสูงและการเตรียมการ) แต่เขายืนยันว่าคุณสมบัติเชิงช่างฝีมือเหล่านี้ไม่ใช่สาระสำคัญของศิลปะ ที่จริง จะมีหรือไม่มีก็ไม่เกี่ยวกับความเป็นศิลปะ ของงานนั้นเลยด้วยซ้ำ
  • ศิลปะไม่ใช่เครื่องมือปลุกเร้าหรือยั่วยุอารมณ์ผู้ชมอย่างมีเป้าหมายล่วงหน้า – จากการปฏิเสธแบบแผน ศิลปะคือหัตถกรรม ข้างต้น Collingwood ยังปฏิเสธความคิดที่ว่าศิลปินคือผู้ใช้เทคนิคเพื่อ “ผลิต” ปฏิกิริยาทางจิตใจบางอย่างให้ผู้ชมคล้ายการปรุงยาให้เสพ เขาเตือนว่าศิลปินไม่ควรกลายเป็น “ผู้จำหน่ายยาเสพติดทางอารมณ์” ที่รู้ล่วงหน้าว่าจะทำให้ผู้ชมรู้สึกอะไรแล้วจงใจสร้างงานเพื่อให้ได้ผลเช่นนั้น เพราะนั่นเท่ากับลดทอนงานศิลปะให้เหลือเพียง เครื่องมือทางจิตวิทยา อย่างหนึ่ง[30] Collingwood เรียกงานในลักษณะนี้ว่า ศิลปะจอมปลอม เนื่องจากศิลปินไม่ได้แสดงอารมณ์แท้จริงของตน หากแต่มุ่งผลิตผลทางอารมณ์ต่อผู้ชมเท่านั้น (เช่น การสร้างงานให้ตลกหรือสยองขวัญตามสูตรเพื่อให้ผู้ชมมีปฏิกิริยาตามต้องการ)

ในการจำแนกของ Collingwood เขาอธิบายว่าสิ่งที่ผู้คนเรียกกันว่า “ศิลปะ” จริงๆ แล้วมีหลายประเภทที่ควรแยกออกจาก “ศิลปะที่แท้” ได้แก่ ศิลปะเป็นงานฝีมือ (craft) ตามที่กล่าวไป, ศิลปะเป็นการเลียนแบบ (representation) แบบดั้งเดิม, ศิลปะเป็นสิ่งให้ความเพลิดเพลิน (amusement art – งานบันเทิงเพื่อสนองอารมณ์สนุกเพลินชั่วคราว) และ ศิลปะเป็นมนตร์ขลังพิธีกรรม (magic art – งานศิลป์หรือกิจกรรมที่มุ่งเร้าอารมณ์หรือความรู้สึกในทางปฏิบัติ เช่น การเต้นรำสงครามปลุกใจนักรบหรือสร้างความฮึกเหิมทางศาสนา)Collingwood ถือว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกิจกรรมมนุษย์ที่แม้จะเกี่ยวข้องกับศิลปะหรืออารมณ์แต่ก็ไม่ใช่ศิลปะที่แท้ในตัวมันเอง หากมองให้ดีจะเห็นว่าทุกแบบที่ว่าเข้าข่าย “หัตถกรรม” ทั้งสิ้น กล่าวคือมีเป้าหมายและวิธีการที่วางไว้ชัดเจน (เช่น สร้างความสุข, สร้างความศักดิ์สิทธิ์, เลียนแบบความจริง ฯลฯ) แล้วใช้ฝีมือผลิตผลงานเพื่อตอบเป้าหมายนั้น ต่างจากศิลปะที่แท้ซึ่งไร้เป้าประสงค์อื่นใด นอกจากการสำรวจและแสดงออกอารมณ์หรือประสบการณ์มนุษย์อย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น

ศิลปะและอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์

ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับอารมณ์: ในทัศนะของ Collingwood ศิลปะมีความผูกพันลึกซึ้งกับอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ เพราะแก่นแท้ของศิลปะคือการทำให้อารมณ์ที่คลุมเครือหรือซับซ้อนกลายเป็นสิ่งที่เราตระหนักรู้และเข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนั้น ศิลปะจึงเปรียบเหมือนกระบวนการทางจิตวิทยาที่ช่วยให้มนุษย์ “รู้จักตนเอง” ในระดับอารมณ์ ผ่านการสร้างสรรค์และการชมงานศิลป์ Collingwood เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีอารมณ์หรือประสบการณ์ภายในที่ต้องการการแสดงออกเพื่อไม่ให้อึดอัดค้างคาอยู่ภายใน และศิลปะคือวิธีอันสูงส่งที่มนุษย์ใช้แปรสภาพอารมณ์เหล่านั้นให้อยู่ในรูปที่จับต้องและเข้าใจได้ เมื่อศิลปินได้สร้างงาน (เช่น เขียนบทกวีหรือวาดภาพ) สำเร็จลง เขาย่อมเข้าใจสภาวะจิตใจที่ตนเผชิญอยู่อย่างถ่องแท้ ผลงานที่เกิดขึ้นจึงเปรียบเหมือน “บันทึก” แห่งความรู้สึกนั้น ที่ผู้อื่นสามารถมองหรืออ่านเพื่อร่วมรับรู้ความหมายของความรู้สึกนั้นได้ด้วย

ศิลปะไม่ใช่การปลดปล่อยอารมณ์ธรรมดา: จุดสำคัญคือ Collingwood ไม่ได้มองศิลปะเป็นการระบายอารมณ์อย่างง่ายๆ หรือเพื่อบรรเทาทุกข์ทางใจเท่านั้น (ต่างจากแนวคิดคาธาร์ซิส) แต่เป็นการทำงานกับอารมณ์เชิงจินตนาการและปัญญา กล่าวคือ ศิลปินต้อง กลั่นกรอง อารมณ์ของตนผ่านสื่อศิลปะ ทำให้อารมณ์ดิบกลายเป็นรูปแบบที่สื่อสารได้ ด้วยเหตุนี้ผลงานศิลปะจึงมักก่อให้เกิดความซาบซึ้งใจ (ผู้ชม “อิน” กับงาน) เนื่องจากผู้ชมได้เห็นอารมณ์มนุษย์ที่ถูกแสดงออกอย่างจริงใจและชัดเจน ทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจในสภาวะมนุษย์ร่วมกัน นี่คือเหตุผลที่ Collingwood มองว่าศิลปะมีบทบาททางสังคมในการ “ชำระล้างอารมณ์ด้วยความเข้าใจ” มากกว่าจะเป็นการเร้าอารมณ์หรือสร้างความสะเทือนใจเฉยๆ ผู้ชมไม่จำเป็นต้องร้องไห้หรือหัวเราะตามศิลปิน หากแต่ควรเกิดความเข้าใจอารมณ์หรือประสบการณ์ที่งานถ่ายทอด ซึ่งเป็นผลลัพธ์เชิงจิตที่ลึกซึ้งกว่าเพียงปฏิกิริยาทางอารมณ์
 (ในข้อนี้ Collingwood วิพากษ์แนวคิดของ Leo Tolstoy ที่ว่าเป้าหมายศิลปะคือการ “ติดเชื้อ” ทางอารมณ์ให้ผู้ชมรู้สึกร่วมแบบเดียวกับศิลปิน ว่าเป็นมุมมองที่คับแคบเกินไป เพราะศิลปะไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้ชมมีอารมณ์เดียวกันเป๊ะๆ กับศิลปิน แต่ศิลปะควรทำให้เกิดความเข้าใจอารมณ์นั้นต่างหาก)

นอกจากนี้ Collingwood ยังอธิบายบทบาทของศิลปะในชีวิตจิตใจของสังคมมนุษย์บางด้าน เช่น เขามองว่า “ศิลปะในเชิงมนตร์ขลัง” (magic art) อย่างบทเพลงปลุกใจ ศิลปะในพิธีกรรมศาสนา หรือกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ ล้วนมีรากฐานจากการใช้อารมณ์ร่วมกันของผู้คนในสังคม เพื่อเป้าหมายบางประการ (เช่น การสร้างความสามัคคี ความศรัทธา หรือความกล้าหาญ) ซึ่งแม้ Collingwood จะบอกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ศิลปะบริสุทธิ์ในตัวมันเอง แต่เขาก็ยอมรับว่าศิลปะที่แท้มักสอดแทรกอยู่ในบริบทเหล่านี้ และมีคุณค่าในการหล่อหลอมความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในทางที่ส่งผลต่อคุณภาพของสังคมได้
กล่าวคือ ศิลปะที่แท้ (การแสดงออกอารมณ์อย่างจริงใจ) เมื่ออยู่ในรูปของบทเพลงชาติ บทสวด หรือพิธีกรรม ก็สามารถหลอมรวมจิตใจผู้คนให้เกิดความหวัง ความฮึกเหิม หรือความเข้าใจร่วมกันในวิถีชีวิตและอุดมการณ์ของชุมชน ซึ่ง Collingwood มองว่าเป็น หน้าที่ทางสังคม ที่สำคัญอย่างหนึ่งของศิลปินและศิลปะ

บริบททางปรัชญาในยุคของ Collingwood

แนวคิดของ Collingwood เกิดขึ้นท่ามกลางฉากหลังทางปรัชญาและศิลปกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงในช่วงต้นถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20:

  • อิทธิพลของสำนักคิดอุดมคตินิยม (Idealism): Collingwood สังกัดกระแสปรัชญาอุดมคติแบบอังกฤษ (British Idealism) และได้รับอิทธิพลโดยตรงจากนักปรัชญาอุดมคติชาวอิตาลีอย่าง Benedetto Croce และ Giovanni Gentile[41] สายปรัชญานี้ให้ความสำคัญกับจิตใจหรือจิตวิญญาณ (Spirit) และมองความจริงทางสุนทรียะว่าอยู่ในโลกของจินตนาการและการรับรู้ภายใน มากกว่าจะอยู่ที่วัตถุภายนอก ดังนั้น ทั้ง Croce และ Collingwood จึงเชื่อร่วมกันว่าความงามและคุณค่าของศิลปะอยู่ที่กระบวนการทางจิตใจ (intuition และ expression) ของศิลปิน ไม่ใช่ตัววัตถุหรือรูปธรรมทางกายภาพที่สร้างขึ้น[3][4] ในยุคของ Collingwood กระแสอุดมคตินิยมนี้ยังเป็นกระแสหลักของปรัชญายุโรปบางส่วน ซึ่งแตกต่างจากสายประสบการณ์นิยม/วัตถุนิยมที่มองโลกในแง่รูปธรรม Collingwood จึงยืนอยู่บนฐานคิดที่ว่าศิลปะคือเรื่องของจิตใจและการสร้างความหมาย มากกว่าจะเป็นการเลียนแบบโลกวัตถุหรือถูกกำหนดโดยกฎเกณฑ์ตายตัวทางกายภาพ
  • ปฏิกิริยาต่อศิลปะสมัยใหม่: ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นยุคที่วงการศิลปะเกิดความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เช่น ศิลปะนามธรรม (Abstract art), ลัทธิรูปแบบนิยม (Formalism), และแนวคิด “ศิลปะเพื่อศิลปะ” (Art for Art’s Sake) ที่ลดทอนบทบาทของการเล่าเรื่องหรือการเลียนแบบธรรมชาติ Collingwood พัฒนาแนวคิดของตนบางส่วนขึ้นเพื่อตอบสนองต่อปรากฏการณ์เหล่านี้ เขาเห็นด้วยกับศิลปินสมัยใหม่ว่าศิลปะไม่จำเป็นต้องเลียนแบบหรือมีเนื้อหาเรื่องราวเหมือนศิลปะแบบเก่า แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่เห็นด้วยกับการเน้น “รูปทรงล้วนๆ” โดยปราศจากความรู้สึกความหมาย (ดังจะกล่าวในส่วนของ Clive Bell) Collingwood พยายามเสนอทางออกว่า ศิลปะควรถูกเข้าใจในฐานะการสร้างสรรค์ทางจินตนาการที่มี ความหมายทางอารมณ์และมนุษยธรรม มากกว่าจะเป็นเพียงการจัดองค์ประกอบทางสายตา หรือการเลียนแบบวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง
  • ยุคหลังสงครามโลกและการตีความศิลปะ: หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่นาน (Collingwood เสียชีวิตปี 1943) วงการปรัชญาศิลปะก็เริ่มเปลี่ยนทิศทางไปสู่การวิเคราะห์เชิงภาษาศาสตร์และสังคมมากขึ้น ทฤษฎีของ Collingwood ที่เน้นจิตใจและการแสดงออกยังคงได้รับการอ่านอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถูกท้าทายจากแนวคิดใหม่ๆ เช่น สถาบันนิยม (Institutional Theory of Art) ที่นิยามศิลปะผ่านบริบทสังคมและสถาบันศิลป์, และแนวคิดเชิงวิเคราะห์อื่นๆ อย่างการจำแนก “artworld” ของ Arthur Danto เป็นต้น
     อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางศตวรรษ Collingwood ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักสุนทรียศาสตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในโลกภาษาอังกฤษ มีผลงานของเขาถูกนำมารวมเล่มในหนังสือรวมบทความสุนทรียศาสตร์อย่างสม่ำเสมอ ในฐานะตัวแทนแนวคิดศิลปะแบบแสดงออกที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งนับแต่ยุคของนักปรัชญาอังกฤษยุคเก่า (เช่น Lord Shaftesbury, Hutcheson, และ Hume)

เปรียบเทียบกับแนวคิดของ Croce และ Clive Bell

เพื่อลดทอนความเป็นนามธรรมของแนวคิด Collingwood เราสามารถเข้าใจมันได้ดีขึ้นโดยการเปรียบเทียบกับนักปรัชญาศิลปะร่วมสมัยสองคนที่มีแนวคิดทั้งคล้ายคลึงและแตกต่างกัน ได้แก่ Benedetto Croce และ Clive Bell:

  • Benedetto Croce (เบเนเด็ตโต โครเช่) – Croce เป็นนักปรัชญาชาวอิตาลีที่นำเสนอทฤษฎี “ศิลปะคือการแสดงออก” ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่ง Collingwood ได้นำมาพัฒนาต่ออย่างเด่นชัด Croce เชื่อว่าแก่นของศิลปะคือการแสดงออกหรือการหยั่งรู้ทาง直覺 (intuition) ของอารมณ์หรือภาพในใจศิลปิน และคุณค่าของศิลปะอยู่ที่ กระบวนการแสดงออกทางจิตใจนั้นเอง ไม่ใช่ตัวงานหรือผลลัพธ์ทางกายภาพ[3][4] เขากล่าวว่าศิลปินไม่จำเป็นต้องผลิตงานออกมาเป็นวัตถุด้วยซ้ำ เพราะแม้แต่กระบวนการสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นในจินตนาการล้วนๆ (โดยไม่ถูกทำให้เป็นรูปธรรม) ก็ถือว่าเป็นศิลปะสมบูรณ์แล้ว และเป็นส่วนที่มีคุณค่าที่สุดของศิลปะด้วย
     Collingwood เห็นพ้องกับ Croce ในประเด็นเหล่านี้อย่างมาก ดังที่เห็นได้จากการที่เขาย้ำว่าศิลปะเกิดขึ้นใน “ใจ” ของศิลปินและผู้ชม และตัวผลงานภายนอกเป็นเรื่องรองลงมา
     อย่างไรก็ตาม จุดต่างอันละเอียดอ่อนระหว่างทั้งสองคือ Collingwood เน้นบทบาทของการสื่อสารไปยังผู้ชมมากกว่า Croce เล็กน้อย เขาระบุว่าสาเหตุที่ศิลปินมักสร้างผลงานออกมาเป็นวัตถุ ก็เพื่อจะสื่อสารหรือแบ่งปันอารมณ์ในใจตนกับผู้อื่นให้รับรู้ได้ และเปิดโอกาสให้ผู้ชมเกิดการแสดงออกอารมณ์ความรู้สึกที่สอดคล้องกันในใจของพวกเขา
    ในขณะที่ Croce บางครั้งถูกตีความว่าให้ความสำคัญกับศิลปะในฐานะประสบการณ์ส่วนตัวภายในใจศิลปินเองเป็นหลัก (ผู้ชมจะเข้าใจหรือไม่ไม่ใช่ประเด็นหลักของคุณค่าศิลปะ) อีกประเด็นหนึ่งคือ Collingwood ยอมรับว่ากระบวนการแสดงออกสามารถเกิดควบคู่ไปกับการสร้างงานจริง (externalization) ในขณะที่ Croce บางครั้งสื่อความหมายว่าการแสดงออกที่บริสุทธิ์เกิดในใจเท่านั้นแล้วตัวผลงานภายนอกเป็นคนละขั้นตอนกัน – จุดนี้นักวิจารณ์บางรายมองว่า Croce “เข้มงวด” กว่าในการแยกศิลปะออกจากวัตถุ ส่วน Collingwood ดูจะปฏิบัติจริงมากกว่าด้วยการยอมรับความสำคัญของการทำงานลงสื่อจริงเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ศิลปะนั้นแก่ผู้อื่น
     โดยภาพรวม Collingwood สืบทอดมุมมองของ Croce เกือบทั้งหมด ทั้งการปฏิเสธศิลปะเป็นการเลียนแบบ, การเน้นความเป็นปัจเจกของการแสดงออก (แต่ละผลงานมีอารมณ์และรูปแบบเฉพาะตัวไม่อาจถ่ายทอดเป็นคำทั่วไปได้) และการมองศิลปะเป็นรูปแบบหนึ่งของภาษาหรือการสื่อความหมายเชิงสุนทรียะของมนุษย์
  • Clive Bell (ไคลฟ์ เบลล์) – Clive Bell เป็นนักวิจารณ์ศิลปะชาวอังกฤษร่วมสมัยกับ Collingwood ที่เสนอทฤษฎีต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงคือ “ศิลปะคือรูปทรงที่มีนัยสำคัญ” (Art as Significant Form)
    เบลล์เชื่อว่าหัวใจของศิลปะอยู่ที่ คุณสมบัติทางรูปทรง ของผลงานซึ่งกระตุ้นให้เกิดอารมณ์สุนทรีย์ (aesthetic emotion) ในผู้ชม โดยเขาอธิบายว่า รูปทรงที่มีนัยสำคัญ คือรูปแบบของเส้นและสีหรือองค์ประกอบทางทัศนศิลป์ที่จัดวางอย่างกลมกลืนลงตัว จนทำให้ผู้ที่มองรู้สึกซาบซึ้งเกิด “อารมณ์สุนทรีย์” ขึ้นมา ซึ่งเบลล์ถือว่าเป็นอารมณ์พิเศษแตกต่างจากอารมณ์ทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวัน
     แนวคิดของเบลล์มีลักษณะเป็น ลัทธิรูปแบบนิยม (Formalism) กล่าวคือ ตัดสินคุณค่าศิลปะที่รูปแบบล้วนๆ ปลีกขาดจากเนื้อหา เรื่องราว หรือบริบทใดๆ ของงาน (เป็นท่าทีแบบ “art for art’s sake” อย่างเต็มที่)เขายืนยันว่าศิลปะที่แท้อยู่ที่องค์ประกอบทางสายตาที่ก่อให้เกิดความรู้สึกทางสุนทรียะเท่านั้น เนื้อหาหรือเรื่องที่แฝงในภาพไม่ใช่สิ่งสำคัญ เช่นเดียวกับการเลียนแบบธรรมชาติก็ไม่ใช่สาระ ศิลปะอาจไม่เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตมนุษย์เลยก็ได้ ตราบใดที่รูปทรงของมันกระทบใจคนดูให้เกิดความรู้สึกพิศวงซาบซึ้งได้

Collingwood ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของ Clive Bell หลายประการ ประการแรก เขาปฏิเสธว่ามี “อารมณ์สุนทรีย์” แบบพิเศษที่แยกขาดจากอารมณ์สามัญอื่นๆ โดย Collingwood เสนอว่าอารมณ์สุนทรีย์ก็คืออารมณ์ธรรมดาที่ได้รับการตกผลึกกระจ่างชัดผ่านการแสดงออกทางศิลปะเท่านั้น หาใช่อารมณ์ลึกลับพิเศษจำเพาะอย่างที่ Bell กล่าวอ้างไม่ประการที่สอง Collingwood ให้ความสำคัญกับเนื้อหาและความหมายทางอารมณ์ของงานศิลป์ ในขณะที่ Bell สนใจแต่รูปทรงและสีสัน Collingwood จะมองว่าทฤษฎีของ Bell ลดทอนศิลปะให้เหลือเพียงการจัดองค์ประกอบทางกายภาพเพื่อกระตุ้นความรู้สึก ซึ่งเข้าข่ายการทำศิลปะเป็น “เทคนิคปลุกอารมณ์” (แบบที่เขาเปรียบเป็นการปรุงยา) มากกว่าจะเป็นการแสดงออกความรู้สึกอย่างจริงใจของศิลปิน ยิ่งไปกว่านั้น Collingwood ยังโต้แย้งว่าแนวคิด Formalism ของ Bell นั้นไม่สนใจบริบททางสังคมหรือมนุษยธรรมของศิลปะเลย ทำให้ศิลปะกลายเป็นสิ่งโดดเดี่ยวไร้จุดหมายทางชีวิต ซึ่ง Collingwood (และ Croce) เห็นว่าเป็นความเข้าใจที่แคบเกินไป ศิลปะที่แท้ย่อมต้องผูกพันกับประสบการณ์ชีวิตและอารมณ์ของมนุษย์ มิฉะนั้นมันจะไม่มีความหมายที่แท้จริงต่อผู้คน Collingwood จึงถือได้ว่าอยู่ตรงข้ามกับ Bell อย่างมากในแง่ปรัชญาศิลปะ: ฝ่ายหนึ่งเน้นการสื่อความหมายทางอารมณ์และจิตใจ, อีกฝ่ายเน้นรูปทรงบริสุทธิ์และความรู้สึกสุนทรีย์ล้วนๆ

สรุป: แนวคิด “ศิลปะคือการแสดงออก” ของ R.G. Collingwood เป็นหมุดหมายสำคัญของปรัชญาความงามสายแสดงออกในศตวรรษที่ 20 เขาช่วยสืบทอดและขยายความงานของ Croce ทำให้โลกปรัชญาอังโล-อเมริกันยอมรับบทบาทของจินตนาการและอารมณ์ในศิลปะมากขึ้น ขณะเดียวกันเขาก็ถกเถียงกับแนวคิดคู่แข่งอย่าง Formalism ของ Clive Bell โดยยืนยันว่าศิลปะมิใช่เพียงการจัดองค์ประกอบให้เกิดความงามทางรูป แต่เป็นกระบวนการทางจิตที่ศิลปินและมนุษยชาติใช้เพื่อเข้าใจและสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกของตน Collingwood แสดงให้เห็นว่าศิลปะมีคุณค่าเพราะมันทำให้ “สิ่งที่เรารู้สึกแต่เดิมไม่รู้ว่าคืออะไร” กลายเป็นสิ่งที่เรารับรู้อย่างแจ่มชัด และแบ่งปันให้ผู้อื่นรับรู้ได้เช่นกัน
 แนวคิดนี้ตอกย้ำบทบาทของศิลปะในฐานะเครื่องมือแห่งความเข้าใจมนุษย์ (a tool of self-discovery and communication) มากกว่าจะเป็นเพียงความบันเทิงหรือสิ่งประดับตกแต่งชีวิต ดังคำกล่าวของ Collingwood ที่ว่า ศิลปินที่แท้จริงต้องจริงใจอย่างยิ่ง เพราะถ้างานศิลปะคือการแสดงออกของอารมณ์แล้ว ศิลปินย่อมต้องเปิดเผยตนเองอย่างหมดเปลือกผ่านงานนั้น ซึ่งเป็นภารกิจอันทรงเกียรติและท้าทายในเวลาเดียวกัน

Leave a Comment