ศิลปะและการรับรู้ทางสายตา Visual Perception

ศิลปะและการรับรู้ทางสายตา Visual Perception แปลจาก Arnheim เสนอว่า “การมองเห็น” ไม่ใช่การรับภาพแบบกลไก แต่เป็น กระบวนการรับรู้เชิงจิตวิทยา ซึ่งเกี่ยวข้องกับแรง การจัดวาง และความหมายศิลปะจึงเป็น โครงสร้างที่มีพลังทางความคิด ไม่ใช่แค่สิ่งที่สวยงาม

Visual perception

By ผศ.ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

บทที่ 1: สมดุล (Balance)

“การมองเห็นไม่ใช่เพียงการบันทึกเชิงกลของสิ่งที่ปรากฏ แต่เป็นการรับรู้รูปแบบโครงสร้างที่มีความหมาย”

1.1 ประสบการณ์ทางสายตาคือพลวัต

สิ่งที่เรารับรู้ด้วยสายตาไม่ใช่แค่ตำแหน่งของวัตถุ สี รูปร่าง การเคลื่อนไหว หรือขนาดเท่านั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ แรงดึงดูดทางจิตวิทยา (psychological forces) ที่ส่งผลต่อการรับรู้ภาพ ซึ่งเป็นแรงที่มีทิศทางและขนาด

ตัวอย่าง 1.1: แผ่นจานดำภายในกรอบสี่เหลี่ยม
เมื่อนำจานกลมสีดำวางภายในสี่เหลี่ยมพื้นขาว มีขอบเส้นดำ หากจานนั้นวางเยื้องจากจุดศูนย์กลาง เราจะรู้สึกถึง “ความตึง” ทางภาพ เช่น จานดูเหมือนจะพยายามเคลื่อนไปยังจุดศูนย์กลาง (รูปที่ 1, หน้า 10) หรือหากอยู่ใกล้ขอบ ก็จะดูเหมือนถูกดูดเข้าไปยังขอบ (รูปที่ 2, หน้า 12)

โครงสร้างแกน (Structural Skeleton)

โครงสร้างพื้นฐานของภาพ — เช่น ศูนย์กลาง เส้นสมมาตร มุม — ล้วนสร้างแรงที่ส่งผลต่อการจัดวางองค์ประกอบ เช่นเดียวกับ “โครงกระดูกทางภาพ” ที่คอยประคองความสมดุลโดยรวมขององค์ประกอบทั้งหมด (ดูรายละเอียดเพิ่มใน 2.5)

มุมและศูนย์กลางของภาพคือ “จุดแม่เหล็ก” ที่มีแรงไม่เท่ากัน
จุดสมดุลระหว่างมุมกับศูนย์กลางจะอยู่ใกล้มุมมากกว่าเล็กน้อย เพราะศูนย์กลางมีแรงดึงมากกว่า

ภาพคือสนามศักย์

การรับรู้ภาพเปรียบได้กับสนามของแรง — เส้นต่าง ๆ ในโครงสร้างของภาพนั้นเป็นเสมือน “สันเขา” ที่ล้อมรอบด้วยแรงดึงและแรงผลักที่แผ่ออกไปทั่วภาพ

1.1 แรงรับรู้ทางสายตาคืออะไร?

ทุกประสบการณ์ทางสายตามีรากฐานทางสรีรวิทยาในระบบประสาท กล่าวคือ การรับรู้ภาพเกิดขึ้นจากกระบวนการภายในสมองที่มีลักษณะคล้าย “สนามพลังงาน” ซึ่งทุกส่วนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน


1.1.1 น้ำหนักทางสายตา (Visual Weight)

น้ำหนักทางสายตาคือความรู้สึกของความ “หนัก” หรือ “ความหนาแน่น” ที่วัตถุแต่ละชิ้นดูเหมือนมีในภาพ ไม่ใช่แค่น้ำหนักจริง ๆ แต่เป็นการรับรู้เชิงจิตวิทยาที่ส่งผลต่อความสมดุลของภาพ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อน้ำหนักทางสายตา ได้แก่:

  1. ตำแหน่ง: วัตถุที่อยู่ใกล้กึ่งกลางจะดู “หนักน้อยกว่า” วัตถุที่อยู่ไกลออกไป

หลักการคล้ายคานค้ำ (lever): ยิ่งไกลศูนย์มาก น้ำหนักยิ่งมากขึ้น

  • ความลึก (Depth): วัตถุที่ดูอยู่ลึกลงไปในฉาก ดูเหมือนมีน้ำหนักมากกว่า เพราะพื้นที่ว่างด้านหน้าให้ความรู้สึกของ “แรงดึง”
  • ขนาด (Size): วัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่าจะให้ความรู้สึกหนักกว่า
  • สี (Color):
    • สีแดง “หนัก” กว่าสีน้ำเงิน
    • สีสดใสหนักกว่าสีเข้ม
    • พื้นที่สีดำต้องใหญ่กว่าสีขาวเพื่อสร้างสมดุล (เนื่องจากเอฟเฟกต์การแผ่รังสี – irradiance)
  • ความซับซ้อนทางรูปร่าง: รูปร่างที่มีความซับซ้อนทางโครงสร้าง มักจะดูหนักกว่า
  • การแยกตัว (Isolation): สิ่งที่โดดเดี่ยว (เช่น ดวงจันทร์กลางท้องฟ้า) มักจะรู้สึกหนักกว่าเพราะไม่มีบริบทรอบข้าง
  • รูปทรงที่เรียบง่าย: รูปทรงกลม หรือสี่เหลี่ยมดูหนักกว่ารูปร่างไม่แน่นอน
  • ทิศทางของรูปทรง: รูปร่างแนวตั้งมักดูหนักกว่ารูปร่างเอียง

 1.1.2 ทิศทางทางสายตา (Visual Direction)

แรงทางสายตายังมี “ทิศทาง” ที่ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย เช่น:

  • แรงดึงดูดจากวัตถุข้างเคียง
  • แนวเส้นสมมาตรของโครงสร้าง
  • สายตาของบุคคลในภาพ (เช่น รูปวาดคนมองไปทางขวา จะสร้างทิศทางนั้น)
  • การเคลื่อนไหว เช่น วัตถุที่เคลื่อนเข้าหากัน

1.1.3 ด้านบนและด้านล่าง (Top vs. Bottom)

หลักการ: สิ่งที่อยู่ “ด้านบน” ต้อง “เบากว่า” สิ่งที่อยู่ด้านล่าง เพื่อให้ภาพดูสมดุล

  • น้ำหนักที่อยู่ด้านบนให้ความรู้สึก “มากกว่า” ด้านล่าง
  • เรามักรู้สึกว่าด้านล่างของภาพ “หนาแน่น” กว่า (bottom-heavy)
  • ตัวอย่างเช่น “เลข 8” เมื่อกลับหัวจะดูผิดแปลก เพราะบนล่างมีน้ำหนักต่างกัน

1.1.4 ด้านขวาและซ้าย (Right vs. Left)

  • การดูภาพมักไล่จากซ้ายไปขวา
  • เส้นทแยงจากล่างซ้ายไปบนขวา ให้ความรู้สึก “ขึ้น” ส่วนอีกทางคือ “ตก”
  • ด้านขวาของภาพมักให้ความรู้สึกหนักกว่า
  • คนดูมัก “อิน” กับด้านซ้ายมากกว่า — เช่น ฝั่งซ้ายของเวทีดูน่าสนใจยิ่งกว่า

♨️ 1.1.5 กฎเทอร์โมไดนามิกส์ปลอมแห่งจิต (The Pseudo-Thermodynamics of Mind)

หลักที่คล้ายกฎเอนโทรปี (Entropy): รูปแบบสิ่งเร้า (stimulus) มักถูกรับรู้ในแบบที่ “เรียบง่ายที่สุดเท่าที่เงื่อนไขอนุญาต”

สิ่งที่เรารับรู้จะถูกแปรความหมายโดยมีแรงสมดุลและ “พลังชีวิต” ที่ต้านแรงโน้มถ่วงภายในจิตใจ ซึ่งจะอธิบายเพิ่มเติมในบทที่ 9 ว่าด้วยพลังพลวัต (Dynamics)

บทที่ 2: รูปร่าง (Shape)

ข้ออ้างอิง 2.1 (Global over local): การรับรู้ทางสายตาให้ความสำคัญกับ “ภาพรวม” มากกว่ารายละเอียดเฉพาะจุด

🔍 รูปร่างคืออะไร?

รูปร่างที่เรามองเห็นอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามมุมมองหรือบริบทที่ล้อมรอบ เช่น:

  • ขอบของรูปร่างไม่ใช่สิ่งกำหนดรูปร่างโดยตรง
  • “โครงสร้างโครงกระดูก” (structural skeleton) ที่เกิดจากขอบต่างหากที่กำหนดว่าเรารับรู้อะไร
  • ความทรงจำและประสบการณ์มีผลต่อการรับรู้รูปร่างอย่างมาก

2.1 ความเรียบง่ายของรูปร่าง (Simplicity for Shape)

ความเรียบง่ายไม่ใช่เรื่องจำนวนองค์ประกอบ แต่วัดจากโครงสร้างภาพโดยรวม เช่น “รูปที่ต้องการข้อมูลอธิบายน้อยที่สุด” จะถูกมองว่าง่ายกว่า

✳️ หลักการ 2.1 (Parsimony): รูปแบบใดที่ต้องใช้ “องค์ประกอบชนิดต่างๆ” น้อยที่สุด ถือว่าง่ายที่สุด

ตัวอย่าง: ถ้ามองจากระยะไกล หอคอยที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมอาจดูเป็นทรงกลม — เพราะระบบรับรู้ของเราจะตีความให้ง่ายที่สุดเมื่อข้อมูลไม่ชัดเจน


2.2 การเน้นย้ำ (Sharpening)

ตรงข้ามกับการลดรูป — การเน้นย้ำ (sharpening) คือ การแยกแยะรายละเอียดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

  • ถ้ารูปมีความไม่สมมาตรเล็กน้อย เราอาจตีความให้ดู “สมมาตรมากขึ้น” (เรียกว่า leveling)
  • หรือในทางกลับกัน เราอาจรู้สึกว่าความไม่สมมาตร “ชัดเจนขึ้น” (sharpening)

⚖️ กฎแห่งพราแคนซ์ (Law of Prägnanz): การรับรู้มักมีแนวโน้ม “ทำให้โครงสร้างภาพชัดเจนที่สุด” — ซึ่งอาจเป็นทั้งการปรับให้เรียบง่ายหรือทำให้เด่นชัด


2.2.1 การปรับระดับ (Leveling) และการเน้นย้ำ (Sharpening)

Leveling:

  • รวมศูนย์, ทำให้สมมาตร, ลดความซับซ้อน, ทำให้ซ้ำ, ตัดสิ่งไม่เข้าพวกออก
  • ช่วยลดแรงตึงทางสายตา

Sharpening:

  • เน้นความต่าง, เสริมความเฉียง, เพิ่มแรงตึงในภาพ

ตัวอย่าง:

  • คลาสสิก (Classicism): มุ่งสู่ความเรียบง่าย สมมาตร สงบ
  • เอ็กซ์เพรสชันนิสม์ (Expressionism): เน้นความไม่สมดุล ความแปลกใหม่ และแรงตึง

2.3 ส่วนประกอบ (Parts)

“การปรากฏตัว” และ “การแยกตัว” คือสิ่งเดียวกัน — Johann Wolfgang von Goethe

  • ส่วนแท้ (Genuine Parts): แบ่งออกอย่างเป็นธรรมชาติ ตามโครงสร้างของภาพรวม
  • ชิ้นส่วน (Pieces): แค่แบ่งบางส่วนโดยไม่มีเหตุผลภายใน

แนวคิด:
รูปร่างของแต่ละส่วนจะเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของภาพรวม เช่นเดียวกับที่กระดูกเดียวกันดูไม่สมบูรณ์หากอยู่นอกโครงกระดูก


2.4 ความเหมือน (Similarity)

การจัดกลุ่มด้วยความเหมือน เกิดขึ้นทั้งตาม:

  • เวลา (การเคลื่อนไหวที่เหมือนกัน)
  • พื้นที่ (รูปร่าง, ขนาด, สี, ความสว่าง ฯลฯ)

📌 การจัดกลุ่ม = “จากล่างขึ้นบน”

การแยกกลุ่ม/ซอยย่อย = “จากบนลงล่าง”

การสร้างขอบเขตเสมือน เช่น การมองเห็นกลุ่มดาว มาจากการจัดกลุ่มจุดโดยสมอง

🔄 เมื่อมีเส้นหลายเส้นตัดกัน สมองจะเลือกการต่อเส้นที่ “สอดคล้องกับโครงสร้างดั้งเดิมที่สุด” (โดยเฉพาะเรื่องความโค้ง)


2.5 โครงกระดูกโครงสร้าง (Structural Skeleton)

ขอบเขต ≠ รูปร่างที่แท้จริง
เพราะสิ่งที่เรารับรู้คือ “โครงกระดูก” ที่เกิดจากแรงทางสายตาในภาพ

  • โครงสร้าง skeleton มักไม่ตรงกับขอบจริง แต่คือสิ่งที่สมองสร้างขึ้นจากภาพ
  • โครง skeleton เดียวกันอาจแสดงผ่านรูปร่างต่าง ๆ ได้ (คล้ายกับ “กลุ่มสมมาตร”)

ตัวอย่าง:

  • รูปเป็ด-กระต่าย (Duck-Rabbit Illusion)
    → ภาพเดียวให้ความรู้สึกว่าเป็น “สองสิ่งที่ขัดกัน” ได้ เพราะมี skeleton สองแบบที่ขัดแย้งกัน

บทที่ 3: รูปแบบ (Form)

❝ Vision is not a passive registering of stimuli, but a constructive act of organization. ❞
— Rudolf Arnheim

🔍 นิยามของ “รูปแบบ”

“รูปแบบ” (form) ในที่นี้หมายถึง โครงสร้างที่รับรู้ได้ ผ่านการรวมองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างมีความหมาย เป็นผลลัพธ์จากระบบประสาทที่ตีความสิ่งเร้า (stimuli) ไม่ใช่แค่รับมันอย่างเฉย ๆ

ในบริบทของศิลปะและการออกแบบ “รูปแบบ” ไม่ใช่แค่รูปร่างภายนอกของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่คือ แบบแผนของแรงที่กระจายอยู่ในภาพ ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้


🧠 รูปแบบในฐานะระบบพลังงาน

  • การรับรู้เป็นกระบวนการสร้าง “สนามของแรง” ขึ้นในจิตใจ
  • เส้นที่มองเห็นเป็นเหมือน “เส้นพลัง” ที่มีทั้งแรงดึงดูดและแรงผลัก
  • จุดที่สมดุลหรือสงบนิ่งที่สุดในภาพ คือจุดที่แรงเหล่านี้ “ตึง” กันพอดี

รูปแบบจึงไม่ใช่เพียงผลรวมของเส้น สี หรือรูปร่าง — แต่คือการจัดวางที่มีความหมายในเชิงจิตวิทยา


🧩 ตัวอย่างเชิงแนวคิด

  • วัตถุที่วางอยู่ในบริบทหนึ่งอาจให้ความรู้สึกต่างออกไปเมื่อเปลี่ยนบริบท เช่น วงกลมที่ดูนิ่งบนฉากขาว จะดูเหมือน “ถูกดึง” หากขยับไปใกล้ขอบ
  • “รูปแบบ” จึงไม่ใช่คุณลักษณะที่แน่นอนตายตัว แต่มันเคลื่อนไหวได้ในจินตภาพ

บทที่ 4: การเติบโต (Growth)

“การเติบโตของรูปแบบไม่ใช่เพียงการเพิ่มขนาด แต่คือการพัฒนาโครงสร้างที่มีความหมาย” — Rudolf Arnheim

4.1 การเติบโตในธรรมชาติและศิลปะ

ในธรรมชาติ การเติบโตของสิ่งมีชีวิตไม่ใช่เพียงการขยายขนาด แต่เป็นกระบวนการที่โครงสร้างภายในพัฒนาอย่างมีระเบียบ เช่นเดียวกับในงานศิลปะ การพัฒนารูปแบบต้องมีความสอดคล้องและสมดุล เพื่อให้เกิดความรู้สึกของความสมบูรณ์และความมีชีวิตชีวา

4.2 การเติบโตของรูปแบบในงานศิลปะ

Arnheim ชี้ให้เห็นว่าในงานศิลปะ การเติบโตของรูปแบบสามารถสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบต่าง ๆ เช่น เส้น รูปร่าง และพื้นที่ว่าง ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทในการสร้างความรู้สึกของการเคลื่อนไหวและการพัฒนา

4.3 การเติบโตและการรับรู้ทางสายตา

การรับรู้การเติบโตของรูปแบบในงานศิลปะขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความคุ้นเคยของผู้ชม สมองของเรามีแนวโน้มที่จะมองหารูปแบบที่มีความสมดุลและสอดคล้องกัน ดังนั้น การเติบโตที่ไม่สมดุลอาจทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่สบายตาหรือไม่เข้าใจงานศิลปะนั้น

4.4 การประยุกต์ใช้ในการออกแบบ

ความเข้าใจเกี่ยวกับการเติบโตของรูปแบบมีความสำคัญในการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ สถาปัตยกรรม หรือกราฟิกดีไซน์ การสร้างรูปแบบที่มีการเติบโตอย่างสมดุลและสอดคล้องกันจะช่วยให้ผลงานมีความน่าสนใจและดึงดูดผู้ชม

บทที่ 5: พื้นที่ (Space)

“พื้นที่ในงานศิลปะไม่ใช่เพียงฉากหลัง แต่เป็นองค์ประกอบที่มีพลังและความหมายในตัวเอง” — Rudolf Arnheim

5.1 ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุและพื้นที่

Arnheim อธิบายว่า การรับรู้พื้นที่ในงานศิลปะไม่ได้เกิดจากการวัดระยะทางหรือขนาดที่แท้จริง แต่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุต่าง ๆ และบริบทที่ล้อมรอบ ตัวอย่างเช่น วัตถุที่มีขนาดเล็กอาจดูใกล้กว่าวัตถุที่มีขนาดใหญ่ หากวัตถุนั้นมีรายละเอียดชัดเจนและมีความคมชัดมากกว่า

5.2 การรับรู้ความลึก (Depth Perception)

การสร้างความลึกในงานศิลปะสามารถทำได้ผ่านเทคนิคต่าง ๆ เช่น:

  • การซ้อนทับ (Overlapping): วัตถุที่อยู่ด้านหน้าจะบังวัตถุที่อยู่ด้านหลัง ทำให้เกิดความรู้สึกของลำดับชั้น
  • การลดขนาด (Diminution): วัตถุที่อยู่ไกลจะมีขนาดเล็กลง
  • การใช้แสงและเงา (Light and Shadow): การจัดแสงและเงาช่วยสร้างความรู้สึกของปริมาตรและความลึก
  • การใช้สีและความคมชัด (Color and Clarity): วัตถุที่อยู่ใกล้มักมีสีสดใสและรายละเอียดชัดเจน ในขณะที่วัตถุที่อยู่ไกลจะมีสีหม่นและรายละเอียดน้อยลง

5.3 ความสัมพันธ์ระหว่างรูปทรงและพื้นที่

Arnheim เน้นว่า รูปทรงและพื้นที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น การเปลี่ยนแปลงของรูปทรงสามารถเปลี่ยนความรู้สึกของพื้นที่ได้ เช่น การใช้เส้นโค้งหรือเส้นตรงสามารถสร้างความรู้สึกของการเคลื่อนไหวหรือความนิ่งในพื้นที่

5.4 พื้นที่ในงานศิลปะสมัยใหม่

ในงานศิลปะสมัยใหม่ ศิลปินมักทดลองกับแนวคิดของพื้นที่ โดยการทำลายกฎเกณฑ์ดั้งเดิม เช่น การใช้มุมมองหลายจุด (Multiple Perspectives) หรือการรวมพื้นที่สองมิติและสามมิติไว้ในภาพเดียวกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายและท้าทายการรับรู้ของผู้ชม

บทที่ 6: แสง (Light)

“แสงในงานศิลปะไม่ใช่เพียงเครื่องมือในการส่องสว่าง แต่เป็นองค์ประกอบที่มีพลังและความหมายในตัวเอง”— Rudolf Arnheim

6.1 บทบาทของแสงในงานศิลปะ

Arnheim อธิบายว่า แสงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความรู้สึกของปริมาตรและพื้นที่ในงานศิลปะ โดยการใช้แสงและเงา (chiaroscuro) ศิลปินสามารถสร้างภาพลวงตาของความลึกและรูปร่างสามมิติบนพื้นผิวสองมิติ

6.2 แสงและการรับรู้ทางสายตา

การรับรู้แสงขึ้นอยู่กับความแตกต่างของความสว่างและความมืดในภาพ Arnheim เน้นว่า สมองของเรามีแนวโน้มที่จะตีความความแตกต่างเหล่านี้เป็นรูปแบบที่มีความหมาย เช่น การมองเห็นวัตถุที่มีแสงสว่างมากกว่าพื้นหลังจะทำให้วัตถุนั้นดูเด่นชัดขึ้น

6.3 การใช้แสงเพื่อสร้างอารมณ์

ศิลปินสามารถใช้แสงเพื่อสร้างอารมณ์และบรรยากาศในงานศิลปะ เช่น การใช้แสงนุ่มนวลเพื่อสร้างความรู้สึกสงบ หรือการใช้แสงแรงเพื่อสร้างความรู้สึกตึงเครียด

6.4 แสงในงานศิลปะสมัยใหม่

ในงานศิลปะสมัยใหม่ ศิลปินมักทดลองกับการใช้แสงในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น การใช้แสงเป็นวัสดุหลักในงานศิลปะ (light art) หรือการใช้แสงเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนไหวของผู้ชม

บทที่ 7: สี (Color)

“สีไม่ใช่เพียงคุณสมบัติทางกายภาพของวัตถุ แต่เป็นประสบการณ์ทางจิตวิทยาที่เกิดจากการรับรู้และการตีความของสมอง” — Rudolf Arnheim

7.1 บทบาทของสีในงานศิลปะ

Arnheim อธิบายว่า สีมีบทบาทสำคัญในการสร้างความรู้สึกและความหมายในงานศิลปะ โดยสีสามารถ:

  • กำหนดอารมณ์: สีสามารถสร้างความรู้สึกต่าง ๆ เช่น ความอบอุ่น ความเย็น ความสุข หรือความเศร้า
  • สร้างความลึก: การใช้สีที่แตกต่างกันสามารถสร้างความรู้สึกของระยะทางและมิติในภาพ
  • เน้นจุดสนใจ: สีที่โดดเด่นสามารถดึงดูดสายตาไปยังส่วนที่สำคัญของภาพ

7.2 การรับรู้สี

การรับรู้สีเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับ:

  • การรับรู้ทางสายตา: ดวงตาของเรามีเซลล์รับแสงที่ตอบสนองต่อความยาวคลื่นของแสงต่าง ๆ ทำให้เรามองเห็นสีต่าง ๆ
  • การตีความของสมอง: สมองของเราตีความข้อมูลจากดวงตาเพื่อสร้างประสบการณ์ของสี
  • บริบท: การรับรู้สีสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามบริบท เช่น สีเดียวกันอาจดูแตกต่างกันเมื่ออยู่บนพื้นหลังที่ต่างกัน

7.3 ความสัมพันธ์ระหว่างสีและรูปแบบ

Arnheim เน้นว่า สีและรูปแบบมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น โดย:

  • สีสามารถเสริมรูปแบบ: การใช้สีที่เหมาะสมสามารถเน้นรูปแบบและโครงสร้างของภาพ
  • สีสามารถเปลี่ยนการรับรู้รูปแบบ: การเปลี่ยนสีของวัตถุสามารถทำให้เรารับรู้รูปแบบของวัตถุนั้นแตกต่างไป

7.4 การใช้สีในงานศิลปะสมัยใหม่

ในงานศิลปะสมัยใหม่ ศิลปินมักทดลองกับการใช้สีในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น:

  • การใช้สีที่ไม่สมจริง: เพื่อสร้างอารมณ์หรือความหมายที่เฉพาะเจาะจง
  • การใช้สีเพื่อสร้างความขัดแย้ง: เพื่อกระตุ้นความคิดหรือความรู้สึกของผู้ชม
  • การใช้สีในรูปแบบนามธรรม: เพื่อเน้นความรู้สึกหรือแนวคิดมากกว่ารูปแบบที่เป็นรูปธรรม

บทที่ 8: การเคลื่อนไหว (Movement)

“การเคลื่อนไหวในงานศิลปะไม่ใช่เพียงการแสดงการเปลี่ยนแปลงของตำแหน่ง แต่เป็นการสื่อสารถึงพลังและอารมณ์ภายในของวัตถุ” — Rudolf Arnheim

8.1 การรับรู้การเคลื่อนไหว

Arnheim อธิบายว่า การรับรู้การเคลื่อนไหวเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตีความของสมองต่อการเปลี่ยนแปลงของภาพที่รับรู้ผ่านสายตา การเคลื่อนไหวสามารถสื่อถึงพลัง ทิศทาง และอารมณ์ของวัตถุในงานศิลปะ

8.2 การเคลื่อนไหวในงานศิลปะ

ในงานศิลปะ การเคลื่อนไหวสามารถแสดงออกได้ผ่านหลายวิธี เช่น:

  • เส้นและรูปร่าง: การใช้เส้นโค้งหรือเส้นทแยงสามารถสร้างความรู้สึกของการเคลื่อนไหว
  • การจัดวางองค์ประกอบ: การวางวัตถุในตำแหน่งที่ไม่สมดุลสามารถสร้างความรู้สึกของการเคลื่อนไหวหรือความไม่มั่นคง
  • การใช้แสงและเงา: การเปลี่ยนแปลงของแสงและเงาสามารถสื่อถึงการเคลื่อนไหวของวัตถุ

8.3 การเคลื่อนไหวและอารมณ์

Arnheim เน้นว่า การเคลื่อนไหวในงานศิลปะสามารถสื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกของวัตถุหรือศิลปิน เช่น การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและแรงสามารถสื่อถึงความโกรธหรือความตื่นเต้น ในขณะที่การเคลื่อนไหวที่ช้าและนุ่มนวลสามารถสื่อถึงความสงบหรือความเศร้า

8.4 การเคลื่อนไหวในงานศิลปะสมัยใหม่

ในงานศิลปะสมัยใหม่ ศิลปินมักทดลองกับการแสดงการเคลื่อนไหวในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น:

  • การใช้เทคนิคภาพลวงตา: การสร้างภาพที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น
  • การใช้สื่อผสม: การรวมวิดีโอหรือองค์ประกอบที่เคลื่อนไหวจริง ๆ เข้ากับงานศิลปะ
  • การสร้างประสบการณ์แบบอินเทอร์แอคทีฟ: การให้ผู้ชมมีส่วนร่วมในการสร้างหรือเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวในงานศิลปะ

บทที่ 9: พลวัต (Dynamics)

“การรับรู้ทางสายตาไม่ใช่เพียงการบันทึกภาพนิ่ง แต่เป็นการสัมผัสถึงพลังและแรงที่เคลื่อนไหวภายในภาพ”— Rudolf Arnheim

9.1 ความหมายของพลวัตในงานศิลปะ

Arnheim อธิบายว่า พลวัตในงานศิลปะหมายถึงพลังและแรงที่เกิดขึ้นจากการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ในภาพ ซึ่งสร้างความรู้สึกของการเคลื่อนไหว ความตึงเครียด หรือความสมดุลในงานศิลปะ

9.2 แรงทางสายตาและการรับรู้

การรับรู้ทางสายตาเกี่ยวข้องกับแรงที่เกิดขึ้นจากองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น:

  • แรงดึงดูดและแรงผลัก: วัตถุในภาพสามารถสร้างแรงดึงดูดหรือแรงผลักซึ่งกันและกัน ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ขนาด และสีของวัตถุ
  • ความตึงเครียด: การจัดวางองค์ประกอบที่ไม่สมดุลสามารถสร้างความรู้สึกของความตึงเครียดในภาพ
  • การเคลื่อนไหว: การใช้เส้นหรือรูปร่างที่มีทิศทางสามารถสร้างความรู้สึกของการเคลื่อนไหวในภาพ

9.3 พลวัตและอารมณ์

Arnheim เน้นว่า พลวัตในงานศิลปะสามารถสื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้สร้างงานหรือผู้ชม เช่น:

  • ความตึงเครียด: การจัดวางองค์ประกอบที่ไม่สมดุลสามารถสื่อถึงความตึงเครียดหรือความไม่มั่นคง
  • ความสมดุล: การจัดวางองค์ประกอบที่สมดุลสามารถสื่อถึงความสงบหรือความมั่นคง
  • การเคลื่อนไหว: การใช้เส้นหรือรูปร่างที่มีทิศทางสามารถสื่อถึงความเคลื่อนไหวหรือพลังงาน

9.4 การประยุกต์ใช้พลวัตในงานศิลปะ

การเข้าใจพลวัตในงานศิลปะสามารถช่วยให้ศิลปินสร้างงานที่มีพลังและสื่อสารอารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการพิจารณาแรงและพลังที่เกิดขึ้นจากการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ในภาพ

บทที่ 10: การแสดงออก (Expression)

“การแสดงออกในงานศิลปะไม่ใช่เพียงการถ่ายทอดอารมณ์ของศิลปิน แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบและความรู้สึกที่ผู้ชมสามารถรับรู้และเข้าใจได้” — Rudolf Arnheim

10.1 ความหมายของการแสดงออกในงานศิลปะ

Arnheim อธิบายว่า การแสดงออกในงานศิลปะเกิดจากการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น เส้น รูปร่าง สี และพื้นที่ว่าง ซึ่งทั้งหมดนี้มีบทบาทในการสร้างความรู้สึกและอารมณ์ในงานศิลปะ การแสดงออกไม่ใช่เพียงการถ่ายทอดอารมณ์ของศิลปิน แต่เป็นกระบวนการที่ผู้ชมสามารถรับรู้และตีความได้ผ่านการรับรู้ทางสายตา

10.2 การรับรู้การแสดงออก

การรับรู้การแสดงออกในงานศิลปะขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความคุ้นเคยของผู้ชม สมองของเรามีแนวโน้มที่จะมองหารูปแบบที่มีความสมดุลและสอดคล้องกัน ดังนั้น การจัดวางองค์ประกอบที่ไม่สมดุลหรือผิดปกติสามารถสร้างความรู้สึกของความตึงเครียดหรือความไม่มั่นคงในภาพ

10.3 การแสดงออกและอารมณ์

Arnheim เน้นว่า การแสดงออกในงานศิลปะสามารถสื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้สร้างงานหรือผู้ชม เช่น:

  • ความตึงเครียด: การจัดวางองค์ประกอบที่ไม่สมดุลสามารถสื่อถึงความตึงเครียดหรือความไม่มั่นคง
  • ความสงบ: การจัดวางองค์ประกอบที่สมดุลสามารถสื่อถึงความสงบหรือความมั่นคง
  • ความเคลื่อนไหว: การใช้เส้นหรือรูปร่างที่มีทิศทางสามารถสื่อถึงความเคลื่อนไหวหรือพลังงาน

10.4 การประยุกต์ใช้การแสดงออกในงานศิลปะ

การเข้าใจการแสดงออกในงานศิลปะสามารถช่วยให้ศิลปินสร้างงานที่มีพลังและสื่อสารอารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการพิจารณาแรงและพลังที่เกิดขึ้นจากการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ในภาพ

byline : ผศ.ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

Leave a Comment