BANGKOK GRAPHIC

เทคนิคการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย ทางการตลาด

เทคนิคการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย ทางการตลาด

กลุ่ม เครื่องมือทำความรู้จักกับกลุ่มเป้าหมายด้วยการวิเคราะห์

  1. S.T.P : Segmentation, Targeting และ Positioning 

กลุ่ม เครื่องมือชุดการหาข้อมูลวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายหาความต้องการและปัญหาที่เป็นอยู่

  • Value Preposition การเสนอคุณค่าแก่ผู้บริโภค
  • Have – Do – Be ค้นหา อยากมี (อยากได้) – อยากทำ และอยากเป็น
  • มาเทียบกับระดับขั้นความต้องการด้วยเครื่องมือ Maslow Hierarchy Needs 

กลุ่ม เครื่องมือทำความรู้จักตนเองเมื่อเทียบกับคู่แข่ง และเข้าใจตลาด

  • 5Fource Model วิเคราะห์อำนาจคู่แข่งขัน 

กลุ่ม เครื่องมือการประกอบสร้าง Brand 

  • เครื่องมือสำหรับการให้ข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญของ Brand : Brand Essence Wheel 
  • เครื่องมือสำหรับการให้ข้อมูลด้านการสื่อสารอัตลักษณ์ Brand Identity Prism
  • เครื่องมือสำหรับการให้ข้อมูลสื่อสารด้านบุคลิกภาพ Brand : Carl Jung Brand Archetypes

เครื่องมือพื้นฐานสำหรับการตลาด 

  • SWOT > TOW Matrix วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน เพื่อกลยุทธ์ทางการตลาด
  • Full Funnel นำการวิเคราะห์กลยุทธ์สู่การทำการตลาดแบบเป็นขั้นตอน

  • กลุ่ม เครื่องมือทำความรู้จักกับกลุ่มเป้าหมายด้วยการวิเคราะห์
  •          โดยทั่วไป ลูกค้าจะเลือกซื้อสินค้าหรือบริการที่ให้ประโยชน์หรือมีคุณสมบัติ ตรงกับความต้องการ สิ่งสำคัญที่ผู้บริหารแบรนด์ต้องเข้าใจ คือ ความเกี่ยวข้อง (Brand Relevance) หมายถึง การที่ลูกค้าต้องมองเห็นความเกี่ยวข้องของสินค้า นั้นกับตัวของลูกค้าเอง นอกเหนือจากประโยชน์ที่จะได้รับจากสินค้าหรือบริการ นั้น ดังนั้น แบรนด์จะต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ความ เกี่ยวข้องนี้ขึ้นอยู่กับความรู้และความเข้าใจของผู้ประกอบการว่า ใครคือกลุ่มลูกค้า เป้าหมายที่แท้จริง ลูกค้าต้องการอะไรจากสินค้าหรือบริการนั้น และผู้ผลิตต้องหา ทางที่จะตอบสนองความต้องการนั้น แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จต้องทำให้ผู้ซื้อ มีความรู้สึกที่ดีและรับทราบถึงคุณค่าของแบรนด์ที่มอบให้ ตัวอย่างเช่นร้านกาแฟ Starbucks ที่มีนโยบายเป็น “The third place” สำหรับลูกค้า รองเท้ากีฬา Nike ที่ทำ ผู้ใส่รู้สึกถึงความสำเร็จในการเล่นกีฬา แชมพู Dove ที่ช่วยบำรุงหนังศีรษะ รถ Volvo ที่ให้ความปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร ฯลฯ ผู้เขียนเคยถามลูกศิษย์รายหนึ่งที่ซื้อปากกา แบรนด์หนึ่งเป็นประจำว่าทำไมถึงเจาะจงซื้อแต่แบรนด์นั้นแม้ว่าจะมีราคาแพงกว่า แบรนด์อื่น ๆ คำตอบที่ได้รับคือ เพราะปากกาแบรนด์นั้นมียางลบในตัวและเขา เป็นคนที่เขียนหนังสือผิดบ่อยทำให้ชื่นชอบปากกาแบรนด์ (รอตติ้ง) เป็นพิเศษ นี่ คือ Brand relevance ปากการอตติ้งมีความเกี่ยวข้องกับลูกค้าอย่างชัดเจนและ สามารถแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ การที่แบรนด์สามารถตอบสนองและส่งมอบคุณค่าที่ เกี่ยวข้องกับความต้องการจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสำเร็จของการวาง ตำแหน่งแบรนด์ในใจลูกค้า

  • S.T.P : Segmentation, Targeting และ Positioning 
  • คำถามที่สำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินงานด้านการตลาดของธุรกิจ ก็คือการ ค้นหาว่ากลุ่มลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคือใคร ต้องการอะไร จะตอบสนองความต้องการ ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้นได้อย่างไร อะไรคือหลักเกณฑ์ที่ควรใช้ในการพิจารณา คัดเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และจะทำอย่างไรให้ลูกค้ากลุ่มนั้นสามารถรับรู้จุดขาย ที่แตกต่างของผลิตภัณฑ์หรือบริการ เพื่อที่บริษัทจะได้วางแผนการตลาดและสื่อสาร คุณค่าหลักของแบรนด์ (Brand Core value) ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้นได้อย่างมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล คำถามทั้งหมดนี้ต้องการข้อมูลถูกต้องและเชื่อถือได้ เพื่อช่วยให้การวางตำแหน่งแบรนด์ประสบผลสำเร็จ
  •             1.1 S. Segmentation
  • ในการหาคำตอบดังกล่าว เรื่องของการแบ่งตลาดออกเป็นส่วน ๆ (Segmentation) และหลักเกณฑ์ในการแบ่งส่วนตลาด (Segmentation criteria) จะมีประโยชน์อย่าง ยิ่งในการค้นหาว่ากลุ่มลูกค้าในตลาดเป็นอย่างไร เพราะเมื่อทำการแบ่งส่วนตลาดโดย ใช้หลักเกณฑ์ที่เหมาะสมมาช่วยในการแบ่งแล้ว สิ่งที่ได้รับ คือ ข้อมูลของลูกค้า (Customer profile) ที่จะช่วยทำให้ได้คำตอบเบื้องต้นที่สำคัญยิ่งทางการตลาดสามประการ นั่นคือ
  • ภาพประกอบที่ 3 ตัวอย่างการให้ข้อมูลกับตัวอย่างกลุ่มเป้าหมายในรูปแบบ Personas 
  • (ภาพประกอบโดย The Design Thinking Playbook,2563)
  • ภาพประกอบที่ 4 รูปแบบผังการทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย 
  • (ภาพประกอบโดย อาจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ)
  • ลูกค้าคือใคร (Who are your customers?)
  • ลูกค้าอยู่ที่ไหน (Where are your customers?)
  • ลูกค้าเป็นอย่างไร (What about your customers?)
  • หมายถึง การแบ่งส่วนตลาดหรือการจัดลูกค้าออกเป็นกลุ่ม ๆ การวางตำแหน่ง แบรนด์จะเชื่อมโยงกับการแบ่งส่วนตลาด และการคัดเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Targeting) ดังที่เรียกว่า S – T – P ซึ่งก็คือ Segmenttion – Targeting – Positioning จากแนวคิดที่ว่าถ้าไม่มีการจัดจำแนกตลาดใหญ่ (Mass market) ออกเป็นตลาดย่อย ที่เป็นกลุ่ม ๆ หรือที่เรียกว่า Segment แล้ว จะเป็นการยากมากที่ผู้บริหารจะกำหนด กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing mix strategy) ได้อย่างเหมาะสมและมี ประสิทธิภาพ เพราะคนในตลาดใหญ่จะมีอำนาจซื้อ ความต้องการ ความชอบ หรือ แรงจูงใจในการซื้อสินค้าบริการที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะเป็นการยากที่ตอบสนอง ความต้องการของคนในตลาดใหญ่ได้ทั้งหมด ดังนั้น จึงเป็นความจำเป็นที่ผู้บริหาร ต้องตอบคำถามเบื้องต้นให้ได้เสียก่อนว่า “ลูกค้าเป้าหมายที่แท้จริงคือใคร”
  • กลยุทธ์การแบ่งตลาดออกเป็นส่วน ๆ หรือการทำ Segmentation ได้เกิดขึ้นมา นานหลายปีแล้ว โดยมีการใช้หลักเกณฑ์ต่างๆ กันในบางแบ่งกลุ่ม (Segmentation (1) criteria) เกณฑ์ที่ได้รับความนิยมมาช้านานจนถึงปัจจุบันได้แก่เกณฑ์ข้อมูลประชากร (Demographic data) ได้แก่การแบ่งกลุ่มโดยใช้ เพศ อายุ อาชีพ รายได้ การศึกษา สถานภาพสมรสม จำนวนในครอบครัว จำนวนบุตร เชื้อชาติ สัญชาติ และการนับถือ ศาสนา เป็นต้น เกณฑ์ข้อมูลประชากรเป็นเกณฑ์ที่ง่ายในการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม การใช้เกณฑ์ประชากรจะไม่สามารถตอบคำถามเรื่องพฤติกรรม แรงจูงใจของผู้บริโภค ตลอดจน Insights ของผู้บริโภคได้จึงเป็นจุดอ่อนของการใช้เกณฑ์ประชากรแต่เพียง อย่างเดียวในการแบ่งกลุ่มตลาด
  • ภาพประกอบที่ 5 ตัวอย่างการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย 
  • (ภาพประกอบโดย The Design Thinking Playbook,2563)
  • นอกจากเกณฑ์ประชากรที่ใช้ในการแบ่งลูกค้าแล้ว เกณฑ์ด้านภูมิศาสตร์ ( Geographic criteria) ก็มักถูกใช้ในการแบ่งผู้บริโภคออกไปตามเขตที่อยู่อาศัย เช่น ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน เป็นต้น การใช้เกณฑ์ภูมิศาสตร์มีประโยชน์ ในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดเพราะไม่ใช่เพียงแต่พื้นที่อยู่อาศัยของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังทำให้ทราบถึงวัฒนธรรมในท้องถิ่นที่ผู้บริโภคอยู่อาศัย (Culture and subculture) ทำให้ทราบถึงแหล่งทำมาหากิน ลักษณะการดำรงชีวิต (Live styles) ศาสนาที่นับถือ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ ดังนั้น ความรู้ด้านสถานที่ทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมในท้องถิ่นที่ผู้คนอยู่อาศัยจะช่วยให้ ผู้บริหารการตลาดสามารถกำหนดเทคนิคการขาย หรือกลยุทธ์การส่งเสริมการขาย ภาษาที่ใช้ในการโฆษณา วิธีการประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ได้อย่างเหมาะสม สอดคล้อง กับการดำรงชีวิตและวัฒนธรรมในท้องถิ่นของผู้บริโภคที่อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ
  • นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง อย่างรวดเร็วในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา เกณฑ์ที่ใช้แบ่งส่วนตลาดก็เริ่มเปลี่ยนไปให้ ความสำคัญกับบุคลิกภาพและชีวิตความเป็นอยู่ (Personality and life styles) ของผู้ บริโภคมากขึ้น ศัพท์ภาษอังกฤษเรียกเกณฑ์นี้ว่า Psychographic ซึ่งหมายถึง เกณฑ์ ด้านบุคลิกภาพและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้อื่น เช่น คนที่ชอบท่องเที่ยว คนที่ชอบ ดูหนังฟังเพลง คนที่ชอบค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต คนที่ชอบออกไปรับประทาน อาหารนอกบ้านในวันหยุด คนชอบดูของเก่า คนที่ชอบดูการแข่งขันกีฬา คนที่เข้า วัดปฏิบัติธรรม คนที่ใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพ ฯลฯ เป็นต้นประโยชน์ของการมีข้อมูล ด้านบุคลิกภาพหรือวิถีชีวิตของกลุ่มลูกค้าเหล่านี้จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถวางแผน กลยุทธ์การตลาดและออกแบบสินค้าหรือบริการได้ตรงกับบุคลิกภาพของกลุ่มเป้า หมายมากขึ้นเพราะมีข้อมูลที่ลึกซึ้งขึ้น ไม่ใช่แค่ข้อมูลว่ากลุ่มลูกค้าเป็นคนอายุเท่าไร มีอาชีพอะไร มีการศึกษาระดับใด ในปัจจุบันจะเห็นธุรกิจต่าง ๆ มีการแบ่งกลุ่มผู้ บริโภคโดยใช้เกณฑ์ Psychographic มากขึ้น เช่นร้านกาแฟ เครือข่ายมือถือ สถาน ที่ท่องเที่ยว บริการเคเบิลทีวี สปาและรีสอร์ต ฯลฯ เพราะผู้บริหารการตลาดจะได้ ออกแบบสินค้า รูปแบบการให้บริการ และการส่งเสริมทางการตลาดแบบต่าง ๆ ได้ ตลาดและทำแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ภาพประกอบที่ 6 ตัวอย่างการแบ่งกลุ่มเป้าหมายด้วย Psychographic
  • (ภาพประกอบโดย https://blog.hubspot.com/insiders/marketing-psychographics)
  • อีกเกณฑ์หนึ่งที่นิยมใช้ในการแบ่งการตลาดออกเป็นกลุ่ม ๆ ก็คือ พฤติกรรม แรงจูงใจ และทัศนคติของผู้บริโภค (Behavior, motivation and attitudes) เช่น พฤติกรรมคนที่ชอบเข้าร้านหนังสือ พฤติกรรมการรับประทานอาหารนอกบ้านกับ ครอบครัวในวันหยุด แรงจูงใจในการไปพักผ่อนที่รีสอร์ตนอกเมือง ฯลฯ ถ้าจะใช้เกณฑ์ นี้ในการแบ่งกลุ่มตลาด ผู้บริหารจำเป็นต้องทำวิจัยผู้บริโภคเพื่อเจาะลึกถึงพฤติกรรม แรงจูงใจ และทัศนคติ ถ้าผู้บริหารการตลาดสามารถทราบแรงจูงใจพฤติกรรมและ ทัศนคติของกลุ่มลูกค้าก็จะสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ในการวางแผน การตลาดและกำหนดตำแหน่งแบรนด์สินค้า/บริการของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไป ในปัจจุบันจะเห็นการใช้เกณฑ์นี้มากขึ้น เช่น ธุรกิจหนังสือแมกกาซีน จะเห็น ว่ามีแมกกาซีนมากมายหลากหลายประเภทในร้านขายหนังสือที่เจาะจงเข้าถึงกลุ่มที่ มีความสนใจแตกต่างกัน เช่น แมกกาซีนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาหารการกิน เสื้อผ้าเครื่องประดับ กีฬาประเภทต่าง ๆ คนรักรถ ฯลฯ ที่น่าสังเกต ก็คือ การแบ่งกลุ่ม ย่อย ๆ ที่เรียกว่า Subsegment ของกลุ่มใหญ่ เช่น หนังสือประเภทกีฬาก็จะแบ่งย่อย ลงไปอีกอย่างชัดเจนว่าเป็นกีฬาประเภทฟุตบอล รถแข่ง เทนนิส กอล์ฟ ฯลฯ เป็นต้น
  • การใช้เกณฑ์ทั้ง 4 ประการในการแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่ม ๆ นี้ จะทำให้การ ทำวิจัยผู้บริโภค (Customer research) เข้ามามีบทบาทในการจัดการด้านการตลาด มากกว่าที่เคยมีในอดีต เนื่องจากการตลาดยุคใหม่จะมีสิ่งแวดล้อมภายนอกของ ธุรกิจที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เหล่านี้ จะส่ง ผลต่อการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจไม่มากก็น้อย การทำการตลาดจะมีความเสี่ยง เพิ่มขึ้น ดังนั้น การทำวิจัยการตลาด (Marketing research) หรือการทำวิจัยผู้บริโภค (Cutomer research) จะช่วยให้ได้ข้อมูลบางประการที่จะช่วยตอบคำถามที่สงสัยไม่ แน่ใจเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการตัดสินใจของผู้บริหารลง
  • ภาพประกอบที่ 7 ตัวอย่างการแบ่งกลุ่มเป้าหมายด้วย Behavior, motivation and attitudes
  • (ภาพประกอบโดย https://www.yieldify.com/blog/behavioral-segmentation-definition-examples/)
  • T. Targeting กลุ่มเป้าหมาย
  • เมื่อผู้บริหารทราบว่าผู้บริโภคในตลาดสามารถแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ได้กี่กลุ่ม และ แต่ละกลุ่มมีข้อมูลลูกค้า (Customer profile) เป็นอย่างไรแล้ว จากนั้นก็จะสามารถ ตัดสินใจหรือเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ (Targeted customer) ว่าควรจะเป็นกลุ่ม ใด ดังนั้น Targeting จึงหมายถึงการคัดเลือกกลุ่มตามเป้าหมาย (Market selection) นั่นเอง
  • ในการคัดเลือกตลาดเป้าหมายที่เหมาะสมกับการทำธุรกิจของบริษัทคำถาม คือ จะใช้หลักเกณฑ์ใดในการพิจารณาคัดเลือกเป้าหมาย เพราะการคัดเลือกเป้า หมายที่ถูกต้อง (The right target) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการกำหนดตำแหน่งของแบรนด์เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่ได้คัดเลือกมา โดยหลักการแล้ว การพิจารณาคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม ควรพิจารณาหลัก เกณฑ์อย่างน้อย 6 หลักเกณฑ์ ดังนี้
  • (1) ตลาดต้องมีขนาดใหญ่พอสมควร (Sufficient market size) ตลาด ที่ผู้บริหารควรพิจารณาคัดเลือกต้องมีจำนวนลูกค้าในตลาดใหญ่พอที่จะนำแบรนด์ สินค้า/บริการเข้าสู่ตลาดนั้น เพราะถ้าขนาดตลาดเล็กเกินไปอาจจะไม่คุ้มค่ากับการ ทำธุรกิจดังนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องมีข้อมูลขนาดตลาดของกลุ่มต่าง ๆ เพื่อช่วยในการ ตัดสินใจ
  • (2) ตลาดต้องมีอุปสงค์สม่ำเสมอ (Stable demand) ผู้บริหารต้องมีการ สำรวจตลาด (Market survey) เสียก่อนเพื่อจะได้ทราบว่าผู้บริโภคในตลาดนั้นมีอุปสงค์ อย่างไรในสินค้าหรือบริการนั้น กลุ่มบริโภคที่มีความต้องการในสินค้าหรือบริการนั้น อย่างสม่ำเสมอและมีอำนาจซื้อ (Purchasing power) จะเป็นตลาดที่น่าสนใจมากกว่า ตลาดที่มีอุปสงค์ไม่คงที่เปลี่ยนแปลงง่ายขึ้น ๆ ลง ๆ และอาจมีความเสี่ยงสูง ดังนั้น ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องมีข้อมูลอุปสงค์และข้อมูลของผู้บริโภคในตลาดนั้น ๆ ก่อนที่ จะตัดสินใจต้องวิเคราะห์สถานการณ์สภาพแวดล้อมทางการตลาด มีข้อมูลของคู่ แข่งที่ขายสินค้าประเภทเดียวกัน มีการพูดคุยซักถามลูกค้าหรือสำรวจตลาดจริงเพื่อ ที่จะได้ทราบข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจคัดเลือกตลาดเป้าหมายต่อไป
  • (3) ตลาดควรมีศักยภาพที่จะเจริญเติบโตต่อไปในอนาคต (Potential growth) ตลาดที่เหมาะสมจะเป็นตลาดเป้าหมายนั้นควรมี ศักยภาพที่จะเติบโตได้ในอนาคต ศักยภาพสามารถพิจารณาได้จากหลายปัจจัย เช่น อุปสงค์ของผู้บริโภคที่มีความชัดเจน เทคโนโลยีที่ใช้ในปัจจุบันสามารถ รองรับการขยายตัวของตลาดได้พื้นที่หรือสถานที่นั้นอยู่ในแผนการพัฒนาของ รัฐบาล ฯลฯ ผู้บริหารจำเป็นต้องมีข้อมูลและต้องเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างกลุ่ม ตลาดต่าง ๆ เพื่อที่จะได้ตัดสินใจเลือกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
  • (4). ต้องสื่อสารกับผู้บริโภคตลาดนั้นได้ (Communicability) เนื่องจากการ วางตำแหน่งแบรนด์มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสื่อสารทางการตลาด (Marketing Communication) ดังนั้น ความสามารถที่จะสื่อสารทางการตลาดกับกลุ่มลูกค้าเป้า หมายให้มีความเข้าใจและรับรู้ในคุณค่าของแบรนด์นั้นจะเป็นกุญแจสำเร็จในการ วางตำแหน่ง บริษัทต้องหาวิธีที่จะเข้าถึงลูกค้าและสื่อสารกับลูกค้าไม่ว่าจะเป็นการ สื่อสารทางการพูด การเขียน การใช้รูปภาพหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ จึงต้องมีความเข้าใจ
  • ในทัศนคติ ทราบถึงแรงจูงใจ และพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าในตลาดนั้นเพื่อจะ ได้สื่อสารเรื่องราวของสินค้ากับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความเข้าใจที่ ตรงกัน หลักการของการสื่อสาร คือ ต้องมีเป้าหมายให้ชัดเจนเสียก่อนว่าจะ สื่อสารกับใคร เพื่อวัตถุประสงค์อะไร และจะพูดกับใคร พูดหรือเขียนอย่างไร เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันทั้งผู้ส่งและผู้รับ ต้องระลึกเสมอว่าการสื่อสารที่ มีประสิทธิภาพมากที่สุดนั้นต้องพยายามพูดหรือเขียนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายที่สุด เพื่อที่จะทำให้ลูกค้าเข้าใจและรับรู้เนื้อหาที่ต้องการสื่อสารได้เร็วที่สุด
  • (5). การคมนาคมไม่ลำบากเกินไปหรือไม่มีต้นทุนสูงเกินไป (Not too high cost transportation) ในทางกายภาพ ระยะทางระหว่างสถานที่ตั้งของ ตลาดเป้าหมายกับบริษัทมีความสำคัญมาก เพราะยิ่งตลาดอยู่ไกลมากก็ยิ่งจะมีค่า ใช้จ่ายมากขึ้น ดังนั้น ระยะทางใกล้ไกลจึงเป็นเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่ายทางการตลาด ผู้บริหารจำเป็นต้องมีข้อมูลในเรื่องนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจ ในบางกรณีตลาด ที่กำลังพิจารณาอาจจะดูน่าสนใจเพราะมีขนาดใหญ่และผู้บริโภคก็มีความต้องการ และอำนาจซื้อ เช่น ผลไม้ไทยที่เป็นที่ต้องการในประเทศแถบตะวันออกกลาง แต่ เนื่องจากมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปในคมนาคมขนส่ง ระบบสาธารณูปโภคยังไม่ สะดวก ยังไม่มีความปลอดภัยเท่าที่ควร ฯลฯ ผู้บริหารจึงต้องพิจารณารายละเอียด ทุกอย่างด้วยความรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจเลือกตลาดที่เหมาะสมที่สุด ในหลาย กรณีที่การคมนาคมไม่ใช่อุปสรรคเพราะไม่ได้อยู่ห่างไกลกันเกินไป แต่อุปสรรคอาจ จะเกิดจากสภาพการณ์หรือสิ่งแวดล้อมของตลาดในประเทศนั้น ๆ ที่ยังไม่เอื้ออำนวย ต่อการเข้าไปในตลาดนั้น
  • (6). ศักยภาพของบริษัท (Company’s potential) เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ ต่าง ๆ ทั้ง 5 ข้อในข้างต้น อาจจะยังไม่สามารถสรุปได้ว่าตลาดกลุ่มใดเป็นตลาดที่ควร ได้รับการคัดเลือกจนกว่าบริษัทจะทำการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง สถานะทางการ เงิน เทคโนโลยี กำลังคน กำลังการผลิต ศักยภาพในการพัฒนาตลาด วัตถุประสงค์ ในการทำธุรกิจ ซึ่งการวิเคราะห์ศักยภาพโดยรวมของบริษัทจะช่วยให้บริษัทเองทราบ ว่ามีความพร้อมในระดับใดที่จะเข้าไปทำธุรกิจในตลาดกลุ่มเป้าหมายนั้นในอนาคต
  • หลักเกณฑ์ 6 ประการนี้เป็นหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการคัดเลือกตลาดเป้าหมาย นอกเหนือจากหลักเกณฑ์เหล่านี้ผู้บริหารอาจจะพิจารณาใช้เกณฑ์อื่น ๆ ที่เหมาะสม เช่น ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารว่าต้องใช้ภาษาใดหรือจะพูดอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด ความแตกต่างของวัฒนธรรมท้องถิ่นที่บริษัทอาจต้องปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับการดำเนิน ชีวิตของผู้คนในพื้นที่นั้น ฯลฯ ในการพิจารณาคัดเลือกตลาดเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้บริหารอาจใช้วิธีให้คะแนนหลักเกณฑ์ของแต่ละเกณฑ์ โดยการพิจารณาจาก ข้อมูลที่ค้นคว้าหามาได้ ซึ่งจะทำให้การคัดเลือกตลาดกลุ่มเป้าหมายมีความชัดเจน มากขึ้นเพราะมีการประเมินเป็นตัวเลข ในกรณีที่มีผู้ประเมินหลายคนอาจคิดค่าเฉลี่ย ตาราง 3.1 แสดงถึงการพิจารณาตลาด 3 ตลาดคือ A B และ C โดยที่มีคะแนนเต็ม ของเกณฑ์ข้อละ 10 คะแนน คะแนนรวมทั้งหมดคือ 60 คะแนน ตลาดที่ได้คะแนน รวมสูงสุดคือ B ได้ 43 คะแนนหรือ 71.66 % ผู้บริหารจึงควรตัดสินใจเลือก B เป็น ตลาดกลุ่มเป้าหมาย
  • P.-Positioning
  • เมื่อผู้ประกอบการได้คัดเลือกตลาดเป้าหมาย (targeting หรือ Market Selection) โดยใช้หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามที่ได้อธิบายข้างต้นเรียบร้อยแล้ว ผู้บริหารก็ จะสามารถวางตำแหน่งของแบรนด์สินค้าหรือบริการที่จะขายในตลาดเป้าหมายนั้น ซึ่งในการวางตำแหน่งแบรนด์ (Brand positioning) ผู้บริหารต้องระบุคุณค่าที่เป็น แก่นแท้ของแบรนด์ (Core brand value) ที่ต้องการนำเสนอให้ลูกค้าในตลาดนั้นได้ ทราบว่าอะไรคือคุณค่าของแบรนด์นั้น ตำแหน่งที่จะนำเสนอต้องตรงกับความต้องการ ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายการวางตำแหน่งจึงจะได้ผล ยิ่งผู้บริหารมีความรู้เกี่ยวกับผู้ บริโภคในตลาดกลุ่มเป้าหมายมากเท่าใดก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะทำให้การวางตำแหน่ง แบรนด์ให้ประสบความสำเร็จมากเท่านั้น ตัวอย่างเช่นการวางตำแหน่งของแบรนด์ ระดับโลกอย่าง Apple ที่มีการสื่อสารตำแหน่งของแบรนด์อย่างชัดเจนเรื่อง “Think different” ลูกค้าไม่ได้มองว่า Apple เป็นสินค้าประเภทมือถือหรือสินค้าในกลุ่มไอที แต่กลับมองว่า Apple เป็นสินค้านวัตกรรมที่มีการออกแบบที่ทันสมัยสอดคล้องกับ วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ เป็นที่ยอมรับในสังคม ใช้ง่ายและมีฟังก์ชั่นการทำงานที่ตอบ สนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดีในโลกยุคดิจิตัล

ใช้ AI. ช่วยออกแบบ Graphic Design ได้อย่างไร

ออกแบบกราฟิก

วิธีนำปัญญาประดิษฐ์ไปใช้ในกระบวนการสั่งงานสำหรับการออกแบบกราฟิก Graphic Design
การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกระบวนการสั่งงานสำหรับการออกแบบกราฟิกสามารถเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพ และคุณภาพการออกแบบโดยรวมได้อย่างมาก

ทำความเข้าใจการประยุกต์ใช้ AI ในการออกแบบกราฟิก
AI นำเสนอแอพพลิเคชั่นมากมายในการออกแบบกราฟิก ช่วยให้นักออกแบบสามารถปรับปรุงกระบวนการและบรรลุผลลัพธ์ที่สร้างสรรค์ได้ดีขึ้น การสำรวจวิธีต่างๆ ที่จะสามารถนำ AI ไปใช้เป็นสิ่งสำคัญ เช่น กระบวนการทำซ้ำอย่างรวดเร็ว การสำรวจความคิดสร้างสรรค์ และการปรับแต่งทิศทางการออกแบบ

การใช้ประโยชน์จากระบบผู้ช่วยการออกแบบ
พิจารณาการนำระบบผู้ช่วยออกแบบมาใช้โดยอาศัย AI ระบบเหล่านี้ซึ่งมีรากฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้เชิงลึก สามารถมีส่วนช่วยอย่างมากในการปรับปรุงขั้นตอนการออกแบบ พวกเขาให้ข้อมูลเชิงลึกว่า AI สามารถช่วยนักออกแบบในกระบวนการตัดสินใจและเพิ่มความคิดสร้างสรรค์โดยรวมได้อย่างไร

การสำรวจผลกระทบของ AI ที่มีต่อการออกแบบกราฟิก
ตระหนักถึงผลกระทบของ AI ต่อกระบวนการออกแบบกราฟิก แม้ว่านักออกแบบแต่ละคนจะมีแนวทางเฉพาะตัว แต่แอปพลิเคชัน AI ที่ออกแบบด้วยอัลกอริธึมที่คำนวณไว้ล่วงหน้าสามารถมีอิทธิพลและเพิ่มพูนกระบวนการสร้างสรรค์ของผู้ใช้ได้ การทำความเข้าใจพลวัตเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการบูรณาการที่ประสบความสำเร็จ

การนำทางเครื่องมือออกแบบ AI
เครื่องมือออกแบบ AI มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของนักออกแบบกราฟิก พวกเขาแนะนำเทคนิคและแนวทางใหม่ ๆ โดยกำหนดให้นักออกแบบต้องปรับตัวและปรับปรุงกระบวนการของตนอย่างต่อเนื่อง การสำรวจเครื่องมือเหล่านี้และความเกี่ยวข้องมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการบูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการสั่งงาน

การประเมินข้อดีข้อเสีย
การทำความเข้าใจข้อดีข้อเสียของการใช้เครื่องมือ AI ในการออกแบบกราฟิกถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแนวทางที่สมดุล แม้ว่า AI จะนำมาซึ่งประสิทธิภาพและนวัตกรรม แต่ก็อาจก่อให้เกิดความท้าทาย เช่น เส้นโค้งการเรียนรู้เบื้องต้น การประเมินปัจจัยเหล่านี้ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีการนำ AI มาใช้ในกระบวนการสั่งงานอย่างรอบคอบและมีข้อมูลครบถ้วน

Byline : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

แนวคิด ทฤษฎีทางศิลปวิจารณ์ Art Criticism

ศิลปวิจารณ์ พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

การทำความเข้าใจความซับซ้อนของศิลปะ : หลักการ ทฤษฎี การวิจารณ์ สุนทรียศาสตร์ และการวิเคราะห์
ศิลปะที่แทบไร้ขีดจำกัดของความคิดที่สร้างสรรค์มาบรรจบกับการแสดงออก ประกอบด้วยหลักการ ทฤษฎี การวิจารณ์ สุนทรียศาสตร์ และการวิเคราะห์ ซึ่งกำหนดรูปแบบการรับรู้และการโต้ตอบกับทัศนศิลป์ ในการสำรวจที่ครอบคลุมนี้ เราได้เจาะลึกองค์ประกอบแต่ละอย่างและระบุหลักการของการวิจารณ์ทัศนศิลป์

หลักการวิจารณ์ทัศนศิลป์ :

สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบคุณสมบัติทางกายภาพของงานศิลปะอย่างเป็นกลาง รวมถึงรายละเอียดต่างๆ เช่น ขนาด สี พื้นผิว และองค์ประกอบ คำอธิบายอย่างละเอียดเป็นรากฐานสำหรับการวิเคราะห์เชิงลึก

การวิเคราะห์ : การวิเคราะห์งานศิลปะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรื้อถอนองค์ประกอบต่างๆ และทำความเข้าใจว่าศิลปะทำงานร่วมกันอย่างไร ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาหลักการออกแบบ เช่น ความสมดุล คอนทราสต์ และจังหวะ เพื่อให้เข้าใจถึงความตั้งใจของศิลปิน

การตีความ : ในที่นี้ ผู้ชมนำเสนอการตีความความหมายของงานศิลปะด้วยตนเอง การตีความอาจแตกต่างกันอย่างมาก และได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ส่วนตัว อารมณ์ และภูมิหลังทางวัฒนธรรมของแต่ละบุคคล

การตัดสินคุณค่า : การวิจารณ์ศิลปะไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยคำตัดสิน แต่มักจะรวมถึงการตัดสินหรือการประเมินผลงานศิลปะด้วย นักวิจารณ์อาจประเมินคุณค่าทางศิลปะและสุนทรียศาสตร์ของผลงาน ผลกระทบ และความเกี่ยวข้องของผลงานในโลกศิลปะ

ทฤษฎีศิลปะ :

ทฤษฎีศิลปะเป็นกรอบในการทำความเข้าใจและตีความศิลปะ ทฤษฎีที่โดดเด่นบางประการ ได้แก่ :

  1. รูปแบบนิยม : ทฤษฎีนี้มุ่งเน้นไปที่คุณสมบัติที่เป็นทางการของศิลปะ เช่น รูปร่าง สี และองค์ประกอบ เน้นย้ำถึงลักษณะเฉพาะของงานศิลปะ

2. ลัทธิหลังสมัยใหม่ : ลัทธิหลังสมัยใหม่ท้าทายแนวคิดดั้งเดิมของศิลปะ และยอมรับความหลากหลาย การไม่แบ่งแยก และการตีความที่หลากหลาย

วิจารณ์ศิลปะ :

การวิจารณ์ศิลปะเป็นการฝึกอภิปรายและประเมินทัศนศิลป์ สามารถเข้าถึงได้จากมุมมองที่แตกต่างกัน ได้แก่ :

การวิจารณ์ด้านสุนทรียภาพ: วิธีการนี้จะประเมินความงามและผลกระทบทางอารมณ์ของงานศิลปะ

การวิจารณ์ตามบริบท: การวิจารณ์ตามบริบทพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมของงานศิลปะเพื่อตีความความหมาย

สุนทรียศาสตร์ :

สุนทรียศาสตร์สำรวจปรัชญาของศิลปะและความงาม โดยจะสำรวจคำถามต่างๆ เช่น อะไรทำให้เกิดสิ่งที่สวยงาม บทบาทของศิลปะในชีวิตของเรา และธรรมชาติของประสบการณ์ทางศิลปะ ทฤษฎีสุนทรียศาสตร์มีส่วนช่วยให้เราเข้าใจถึงผลกระทบของศิลปะที่มีต่อประสาทสัมผัสและสติปัญญาของเรา

การวิเคราะห์งานศิลปะ :

การวิเคราะห์ทางศิลปะเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบงานศิลปะอย่างละเอียด ครอบคลุมการประเมินองค์ประกอบและหลักการของศิลปะ การเปิดเผยสัญลักษณ์ และการทำความเข้าใจความตั้งใจของศิลปิน การวิเคราะห์ช่วยให้ผู้ชมชื่นชมความแตกต่างและความซับซ้อนภายในงานศิลปะ

โดยสรุป โลกแห่งศิลปะเป็นขอบเขตที่หลากหลาย ซึ่งหลักการ ทฤษฎี การวิจารณ์ สุนทรียศาสตร์ และการวิเคราะห์มาบรรจบกันเพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับทัศนศิลป์ แต่ละองค์ประกอบเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในความสามารถของเราในการชื่นชม ตีความ และประเมินงานศิลปะ ไม่ว่าคุณจะเป็นศิลปิน นักวิจารณ์ หรือผู้ชื่นชอบงานศิลปะ องค์ประกอบเหล่านี้เป็นรากฐานของการมีส่วนร่วมกับโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์อันน่าหลงใหล

Byline : ผศ.ดร.พิสิฐ ตั้งพรรปะเสริฐ

เคล็ดลับการออกแบบเว็บไซต์ยังไงให้คนสนใจ

รับออกแบบ Website
จุดมุ่งหมายหลักของเว็บไซต์หรือธุรกิจทุกแห่งก็คือการเป็นที่สนใจของผู้คนให้ได้มากที่สุดเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นได้ ถ้าหากว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจหรือนักเขียนโปรแกรมหน้าใหม่ที่กำลังย่างก้าวเข้ามายังโลกแห่งธุรกิจเป็นครั้งแรก จะทำยังไงให้มีคนมาสนใจเว็บไซต์ของเรา วันนี้เราจะมาแบ่งปันเคล็ดลับการออกแบบเว็บไซต์ให้คนสนใจกัน

ทำไมความสนใจของผู้ใช้งานถึงสำคัญ แล้วมันคืออะไรกันแน่?

ความสนใจของผู้ใช้งานหรือที่รู้จักกันในชื่อ Engagement คือการดำเนินการตลาดโดยอาศัยกลยุทธ์และเนื้อหาบนโลกออนไลน์เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์อย่างมีความหมายจากลูกค้า ซึ่งถือเป็นการสร้างความภักดีต่อแบรนด์ (brand loyalty) อีกด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการลงโฆษณา การขายสินค้าหรือบริการผ่านอีเมล หรือการสร้างสื่อบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยจุดประสงค์ของกลยุทธ์การตลาดที่อาศัย engagement คือการทำให้ผู้ใช้งานมีความสนใจในสินค้าหรือบริการของเรา หรือสามารถเลือกซื้อสินค้าหรือบริการได้ง่ายขึ้น หรือสามารถรับบริการหลังการขายได้สะดวกขึ้น พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นการทำให้ลูกค้าหรือผู้ใช้งานที่อาจจะเป็นลูกค้า มีความสนใจหรือประทับใจในตัวบริษัทมากขึ้นเพื่อสร้างความรักในแบรนด์ของบริษัทอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

เคล็ดลับในการเพิ่ม Engagement

สำหรับคนที่เพิ่งเข้าสู่วงการแล้วอยากจะเพิ่ม engagement คงอาจจะมองว่าการเพิ่ม engagement จะต้องอาศัยการโฆษณาหรือเข้าหาผู้คนเพียงอย่างเดียว แต่การทำความเข้าใจระบบเบื้องหลังและการเข้าใจกลไกทางสังคมต่าง ๆ เองก็สามารถช่วยให้เรารู้วิธีเพิ่ม engagement ที่อาจจะเหมาะสมกับช่องทางของเรามากที่สุดครับ

สร้างคอนเทนต์ให้ชัดเจนและเกี่ยวข้อง

ขั้นแรกของการเข้าใจ engagement คือเข้าใจว่า “ผู้ใช้งานจะเข้ามาใช้สื่อของเราเพราะอะไร?” เมื่อเข้าใจเช่นนั้นแล้ว เราก็ควรจะเพิ่มคอนเทนต์ให้ชัดเจน ไม่มีการหลอกเอายอดคลิก (clickbaiting) และจะต้องเป็นคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มของเราด้วย

เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานได้มีส่วนร่วม

เคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไมพวกนักสร้างคอนเทนต์หรืออินฟลูเอนเซอร์ถึงชอบให้คนดูคอมเมนต์ว่าตัวเองคิดอะไร นั่นก็เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มักจะชื่นชอบโอกาสในการแสดงความคิดเห็นของตัวเอง โดยเฉพาะถ้าตัวเองมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าเกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ ครับ ซึ่งอารมณ์หรือความคิดเห็นของมนุษย์เองก็เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังและมีประโยชน์มาก ๆ ดังนั้น เวลาลงคอนเทนต์ในเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย ก็พยายามลองเปิดโอกาสให้ผู้ติดตามได้แสดงความคิดเห็นหรือแบ่งปันโพสต์ไปให้คนอื่น ๆ ได้พูดคุยกัน เช่นนี้ เราก็จะสามารถเติบโตได้ผ่าน “ความอยากรู้” ของคนแล้วล่ะครับ

ใช้ประโยชน์จากแชตบอต

แชตบอตมีประโยชน์มาก ๆ สำหรับการริเริ่มบทสนทนาและช่วยเเปลง “ผู้เยี่ยมชม” ให้กลายเป็น “ลูกค้า” ได้ครับ ลองนึกภาพดูว่า เรากำลังเข้าไปตามหาของในเว็บไซต์ที่ค่อนข้างซับซ้อน เต็มไปด้วยข้อมูล ต่อให้เราจะอยากได้ของมากแค่ไหน ถ้าเรารู้สึกเกรงกลัวข้อมูลจำนวนมาก เราก็คงจะเปลี่ยนใจไปใช้เว็บอื่นถูกมั้ยครับ แต่ถ้าเกิดมีข้อความจากแชตบอตขึ้นมาทักทาย ขึ้นมาพร้อมช่วยเหลือเรา มันก็ถือเป็นปฏิสัมพันธ์ที่อาจจะทำให้ผู้เยี่ยมชมที่สนใจได้มีโอกาสกลายเป็นลูกค้าของเราขึ้นมาได้ครับ

แนวโน้นงานออกแบบ Graphic ปี 2023

รับออกแบบ Graphic

Introduction

ในภูมิทัศน์แบบไดนามิกของการออกแบบ สาขาการออกแบบกราฟิกได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งซึ่งได้รับแรงหนุนจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และการแสวงหานวัตกรรมการสื่อสารด้วยภาพ ขณะที่เราเจาะลึกลงไปในปี 2023 ขอบเขตของการออกแบบกราฟิกกำลังประสบกับยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา โดยได้รับแรงหนุนจากการวิจัยใหม่และหลักการที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งกำลังกำหนดแนวทางที่นักออกแบบจะเข้าถึงงานฝีมือของพวกเขา บทความนี้ให้ภาพรวมที่ครอบคลุมของการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับการออกแบบกราฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งเน้นไปที่การศึกษาที่ก้าวล้ำจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ และเจาะลึกถึงการเกิดขึ้นของหลักการและทฤษฎีใหม่ๆ ที่พร้อมจะกำหนดนิยามใหม่ของอุตสาหกรรม

วิวัฒนาการของการวิจัยการออกแบบกราฟิก

ขอบเขตของการออกแบบกราฟิกได้พัฒนาไปอย่างมากจากรากเหง้าแบบดั้งเดิม ซึ่งการตัดสินใจออกแบบมักจะถูกชี้นำโดยสัญชาตญาณของนักออกแบบ ด้วยการเพิ่มจำนวนของวัฒนธรรมย่อยที่หลากหลาย การเพิ่มขึ้นของการเชื่อมต่อทั่วโลก และการกำเนิดของแพลตฟอร์มดิจิทัล การออกแบบกราฟิกได้เปลี่ยนไปสู่ระเบียบวินัยที่ขับเคลื่อนด้วยการวิจัย ในยุคที่ผู้ชมเฉพาะกลุ่มต้องการประสบการณ์ด้านภาพที่ปรับให้เหมาะสม กระบวนการออกแบบที่เน้นการวิจัยได้กลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงและนักวิจัยด้านการออกแบบเป็นแนวหน้าของการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยมีส่วนร่วมในการศึกษาที่ก้าวล้ำซึ่งเชื่อมช่องว่างระหว่างการวิจัยและการปฏิบัติ

ข้อมูลเชิงลึกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ

มหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกมีส่วนสำคัญในการผลักดันวิวัฒนาการของการวิจัยการออกแบบกราฟิก แหล่งข้อมูลเชิงลึกที่โดดเด่นแหล่งหนึ่งคือสิ่งพิมพ์ “Design Studies: Theory and Research in Graphic Design” การรวบรวมบทความที่เขียนโดยเครือข่ายนักวิจัยด้านการออกแบบทั่วโลก เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทดลองและการวิเคราะห์อย่างเข้มงวดในกระบวนการออกแบบ บทความเน้นย้ำว่าการวิจัยสามารถปรับปรุงการออกแบบได้อย่างไรโดยการสำรวจหัวข้อที่หลากหลาย เช่น อิทธิพลของวัฒนธรรมฮิปฮอปที่มีต่อสุนทรียภาพในการออกแบบ ผลกระทบของความแตกต่างทางวัฒนธรรมต่อการออกแบบสำหรับประเทศโลกที่สาม และวิธีการสอนการวิจัยที่สร้างสรรค์ให้กับนักศึกษาด้านการออกแบบ สิ่งพิมพ์นี้ทำหน้าที่เป็นข้อมูลอ้างอิงที่ชัดเจนสำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านการออกแบบและนักศึกษาที่ต้องการรวมการวิจัยเข้ากับความพยายามที่สร้างสรรค์ของพวกเขา

ทฤษฎีการออกแบบกราฟิกและเทคโนโลยีการบรรจุ

ในขอบเขตของการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ทฤษฎีการออกแบบกราฟิกมีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบการออกแบบที่มีประสิทธิภาพและส่งผลกระทบ “การวิจัยและการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการออกแบบกราฟิกในเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์” เป็นการศึกษาที่ประเมินการประยุกต์ใช้ทฤษฎีกราฟิกและหลักการในการสร้างการออกแบบบรรจุภัณฑ์จากมุมมองของผู้บริโภค งานวิจัยนี้เจาะลึกว่าทฤษฎีการออกแบบกราฟิกมีอิทธิพลต่อการสร้างบรรจุภัณฑ์และพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างไร เป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของทฤษฎีการออกแบบที่ผ่านการตรวจสอบแล้วในการสร้างสิ่งเร้าทางสายตาที่น่าสนใจและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค การศึกษาเน้นย้ำถึงบทบาทของทฤษฎีการออกแบบในฐานะจินตนาการที่มีระเบียบวินัยซึ่งชี้นำทางเลือกของนักออกแบบและแจ้งผลการออกแบบ

ผสมผสานทฤษฎีสู่การปฏิบัติ

การบูรณาการทฤษฎีการออกแบบกราฟิกสู่การปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนนวัตกรรมและปรับปรุงผลการออกแบบ เมื่อทฤษฎีการออกแบบพัฒนาไปพร้อมกับวัฒนธรรมและเทคโนโลยี นักออกแบบมักจะรวมเอาทฤษฎีจากสาขาวิชาต่างๆ การวิจัยการออกแบบกราฟิกร่วมสมัยเน้นความสำคัญของแนวทางแบบองค์รวม โดยพิจารณาจากแง่มุมต่างๆ เช่น ศิลปะ สถาปัตยกรรม เศรษฐศาสตร์ และสังคมวิทยา การทำงานร่วมกันระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติช่วยให้นักออกแบบสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ค้นพบสิ่งที่เหมือนกัน และจัดการกับความท้าทายในการออกแบบที่ซับซ้อน นักออกแบบถูกท้าทายให้มองว่าทฤษฎีไม่ใช่กรอบที่ตายตัว แต่เป็นเครื่องมือแบบไดนามิกที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาระเบียบวินัยในการออกแบบ

ความสามารถในการมองเห็นและการพัฒนาในอนาคต

ในขณะที่การออกแบบกราฟิกมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มิติใหม่ของความสามารถก็เข้ามาให้ความสำคัญ “การศึกษาด้านการออกแบบ: ทฤษฎีและการวิจัยด้านการออกแบบกราฟิก” เน้นย้ำถึงบทบาทของความสามารถในการมองเห็นในการสร้างอนาคตของการศึกษาด้านการออกแบบกราฟิก การศึกษาเน้นย้ำถึงความจำเป็นสำหรับนักออกแบบในการปรับตัวให้เข้ากับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและรวมเครื่องมือและวิธีการที่เป็นนวัตกรรมเข้ากับการปฏิบัติของพวกเขา โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของทฤษฎีการออกแบบกราฟิกในการปลูกฝังความสามารถในการมองเห็น ทำให้นักออกแบบสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และความต้องการของอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผสมผสานระหว่างทฤษฎีและทักษะการปฏิบัตินี้ทำให้นักออกแบบสามารถสร้างการสื่อสารด้วยภาพที่มีผลกระทบและนำไปสู่ความก้าวหน้าของระเบียบวินัยการออกแบบ

ในโลกของการออกแบบกราฟิกที่มีการพัฒนาตลอดเวลา การบูรณาการการวิจัยและทฤษฎีสู่การปฏิบัติกำลังสร้างยุคใหม่ของความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยชั้นนำและนักวิจัยด้านการออกแบบเป็นแนวหน้าของการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยสร้างข้อมูลเชิงลึกที่กำหนดกระบวนการและผลลัพธ์การออกแบบใหม่ ในขณะที่นักออกแบบกราฟิกสำรวจภูมิทัศน์ที่ซับซ้อนของการสื่อสารด้วยภาพ การรวมทฤษฎีการออกแบบที่ผ่านการตรวจสอบแล้วจะช่วยให้พวกเขาสร้างงานออกแบบที่น่าสนใจ เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม และสร้างผลกระทบ การผสมผสานระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติไม่เพียงเพิ่มคุณค่าให้กับการศึกษาด้านการออกแบบ แต่ยังปูทางสำหรับอนาคตที่การออกแบบกราฟิกยังคงดึงดูดผู้ชม ขับเคลื่อนพฤติกรรมผู้บริโภค และมีส่วนร่วมในขอบเขตที่กว้างขึ้นของวัฒนธรรมภาพ ด้วยพู่กันและพิกเซลแต่ละเส้น นักออกแบบกำลังมีส่วนร่วมในพรมแบบไดนามิกที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณและขับเคลื่อนการออกแบบกราฟิกไปสู่ดินแดนแห่งความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ไม่จดที่แผนที่

byline : ผศ.ดร.พิสิฐ ตั้งพรรปะเสริฐ

สูตรการออกแบบ Brand ด้วย My StoryBrand SB7

รับออกแบบ Branding

Review หนังสือ My Story Brand โดย ผู้ช่วยศาสตร์จารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

ความสำคัญ
ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน กลยุทธ์การสร้างแบรนด์และการตลาดที่มีประสิทธิภาพมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดึงดูดความสนใจและความภักดีของลูกค้า Donald Miller ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ที่มีชื่อเสียงได้พัฒนากรอบการทำงานอันทรงพลังที่เรียกว่า StoryBrand SB7 ซึ่งมีกระบวนการทีละขั้นตอนในการสร้างเรื่องเล่าของแบรนด์ที่น่าสนใจ บทความนี้จะสำรวจองค์ประกอบหลักของเฟรมเวิร์ก StoryBrand SB7 และวิธีที่องค์ประกอบเหล่านั้นนำไปสู่การเล่าเรื่องของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ

1.ตัวละคร A Character :
หัวใจสำคัญของกรอบ StoryBrand SB7 คือการรับรู้ว่าลูกค้าคือฮีโร่ของเรื่องราวของแบรนด์ แทนที่จะเน้นที่คุณสมบัติและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์หรือบริการเพียงอย่างเดียว มิลเลอร์เน้นที่การเริ่มต้นจากมุมมองของลูกค้า องค์ประกอบแรกของเฟรมเวิร์กเกี่ยวข้องกับการสร้างตัวละคร—ลูกค้า—ที่ต้องการบางอย่าง ด้วยการทำความเข้าใจความต้องการและแรงบันดาลใจของลูกค้า ธุรกิจต่างๆ สามารถปรับแต่งข้อความของตนให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ปัญหา : With a Problem
ฮีโร่ทุกคนพบกับอุปสรรคและความท้าทายตลอดการเดินทางของพวกเขา และเช่นเดียวกันกับลูกค้า องค์ประกอบที่สองของกรอบงาน SB7 เกี่ยวข้องกับการระบุปัญหาหรือจุดบอดที่ลูกค้าเผชิญ การยอมรับความท้าทายเหล่านี้ทำให้ธุรกิจสามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจและแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าพวกเขาเข้าใจความยากลำบากของพวกเขา ขั้นตอนนี้ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับผู้ชมเป้าหมายได้ลึกขึ้น เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าข้อกังวลของพวกเขาได้รับการตอบรับและแก้ไขแล้ว

3. พบกับคนช่วยเหลือ : Meet a guide who Understand their fear
ฮีโร่มักจะขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาหรือไกด์ที่ชาญฉลาดเพื่อผ่านความท้าทายของพวกเขา ในกรอบ StoryBrand SB7 องค์ประกอบที่สามมุ่งเน้นไปที่การแนะนำแบรนด์ให้เป็นแนวทางที่เข้าใจความกลัวและความกังวลของลูกค้า ด้วยการวางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็นแนวทางที่เอาใจใส่และมีความรู้ ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าของตนได้ ขั้นตอนนี้มีความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกลุ่มเป้าหมายและวางตำแหน่งแบรนด์ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชัน

4. ถึงเวลาวางแผน : WHO GIVES  THEM A PLAN
เมื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไกด์กับลูกค้าแล้ว องค์ประกอบที่สี่ของกรอบ SB7 จะเกี่ยวข้องกับการนำเสนอแผนที่ชัดเจนเพื่อช่วยให้ลูกค้าเอาชนะความท้าทายของตนได้ แผนนี้ควรระบุขั้นตอนและการดำเนินการที่จำเป็นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ด้วยการจัดเตรียมแผนงานสู่ความสำเร็จ ธุรกิจต่างๆ สามารถเพิ่มศักยภาพให้กับลูกค้าและบรรเทาความวิตกกังวลของพวกเขาได้ แผนการที่ชัดเจนช่วยให้ลูกค้ามั่นใจในความสามารถของแบรนด์ในการให้ผลลัพธ์และกระตุ้นให้พวกเขาดำเนินการ

5. ตัวเร่งให้ดำเนินการ : AND CALLS THEM TO ACTION
ในการเดินทางที่กล้าหาญใด ๆ ฮีโร่จะถูกเรียกให้ดำเนินการ เช่นเดียวกัน ในกรอบ StoryBrand SB7 องค์ประกอบที่ห้าเกี่ยวข้องกับการจูงใจลูกค้าให้ดำเนินการตามแผนที่นำเสนอ การสร้างคำกระตุ้นการตัดสินใจที่ดึงดูดใจ ธุรกิจต่างๆ สามารถกระตุ้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ของตน ซื้อสินค้า หรือทำตามขั้นตอนต่อไปที่ต้องการ คำกระตุ้นการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพควรชัดเจน โน้มน้าวใจ และสอดคล้องกับแรงบันดาลใจของลูกค้า

6. เดิมพัน: หลีกเลี่ยงความล้มเหลว : THAT HELPS THEM  AVOID FAILURE

การเดินทางของฮีโร่ทุกคนมาพร้อมกับความเสี่ยงและความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น องค์ประกอบที่หกของกรอบงาน SB7 มุ่งเน้นไปที่การเน้นส่วนเดิมพันที่เกี่ยวข้อง หากลูกค้าไม่สามารถดำเนินการหรือจัดการกับความท้าทายของตนได้ การแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงผลเสียของการอยู่เฉย ธุรกิจสามารถสร้างความรู้สึกเร่งด่วนและกระตุ้นให้ลูกค้าเอาชนะความกลัวได้ การเน้นย้ำถึงการสูญเสียหรือพลาดโอกาสที่อาจเกิดขึ้นช่วยให้ลูกค้าเข้าใจถึงความสำคัญของการดำเนินการ

7. พบกับความสำเร็จ :

Download Template StoryBrand

วิธีการสร้างชั้นเรียนแบบนวัตกรรม

นวัตกรรมชั้นเรียน

How to Create Students to Be Innovators

บทความวิชาการ ทำอย่างไรเราจะสร้างชั้นเรียนที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

วิธีสร้างนักเรียนให้เป็นผู้สร้างนวัตกรรม


ในโลกปัจจุบันที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว การส่งเสริมนวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จของนักเรียน ในฐานะนักการศึกษา สิ่งสำคัญคือต้องเสริมทักษะและกรอบความคิดที่จำเป็นให้กับนักเรียนเพื่อเป็นผู้สร้างนวัตกรรม การบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิพากษ์ ความสามารถในการแก้ปัญหา และจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ เราสามารถเตรียมนักเรียนให้เติบโตในภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของศตวรรษที่ 21 บทความนี้ให้แนวทางที่ครอบคลุมสำหรับครูและอาจารย์เกี่ยวกับวิธีบ่มเพาะนักประดิษฐ์ของนักเรียน นำเสนอกลยุทธ์เชิงปฏิบัติและข้อมูลเชิงลึกเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเสริมพลังให้กับนักคิดรุ่นต่อไปที่ก้าวล้ำ

ส่วนที่ 1: การสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อนวัตกรรม
เพื่อบ่มเพาะนักประดิษฐ์ของนักเรียน สิ่งสำคัญคือต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการทดลอง กลยุทธ์หลักในการสร้างห้องเรียนที่เป็นมิตรต่อนวัตกรรมมีดังนี้

ส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นและการสำรวจ: ส่งเสริมความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในหมู่นักเรียนโดยการส่งเสริมการตั้งคำถามและการสำรวจ กระตุ้นให้พวกเขาตรวจสอบหัวข้อที่สนใจ มีส่วนร่วมในกิจกรรมภาคปฏิบัติ และคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับความท้าทายในโลกแห่งความเป็นจริง

ยอมรับความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรียนรู้: ปลูกฝังแนวคิดการเติบโตโดยสอนนักเรียนว่าความล้มเหลวเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการสร้างสรรค์นวัตกรรม กระตุ้นให้พวกเขากล้าเสี่ยง เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และเผชิญหน้ากับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง

ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการทำงานเป็นทีม: เน้นความสำคัญของการทำงานร่วมกันและการทำงานเป็นทีมในด้านนวัตกรรม กระตุ้นให้นักเรียนทำงานเป็นกลุ่ม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และใช้ประโยชน์จากมุมมองที่หลากหลายเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อน

ให้การเข้าถึงทรัพยากรและเทคโนโลยี: ตรวจสอบให้แน่ใจว่านักเรียนสามารถเข้าถึงทรัพยากร เครื่องมือ และเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกในการสร้างสรรค์นวัตกรรม สร้างพื้นที่สำหรับผู้สร้างหรือห้องปฏิบัติการนวัตกรรมที่มีวัสดุสำหรับการสร้างต้นแบบ การเขียนโค้ด และการทดลอง

ส่วนที่ 2: การพัฒนาทักษะหลักสำหรับนวัตกรรม
เพื่อส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรม การพัฒนาทักษะหลักที่เป็นรากฐานของกระบวนการสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ต่อไปนี้เป็นทักษะที่จำเป็นในการฝึกฝนในหมู่นักเรียน:

การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหา: สอนนักเรียนถึงวิธีการวิเคราะห์ปัญหาที่ซับซ้อน คิดวิเคราะห์ และพัฒนาวิธีแก้ปัญหาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ กระตุ้นให้พวกเขาเผชิญกับความท้าทายจากมุมต่างๆ และพิจารณามุมมองที่หลากหลาย

ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ: บ่มเพาะความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนโดยการผสมผสานกิจกรรมที่ส่งเสริมการระดมสมอง การสร้างความคิด และการคิดนอกกรอบ ให้โอกาสในการแสดงออกทางศิลปะและความคิดที่แตกต่าง

แนวคิดของผู้ประกอบการ: แนะนำนักเรียนให้รู้จักกรอบความคิดของผู้ประกอบการ โดยเน้นคุณสมบัติต่างๆ เช่น ความคิดริเริ่ม ความสามารถในการปรับตัว ความยืดหยุ่น และความมีไหวพริบ สอนให้รู้จักระบุโอกาส คำนวณความเสี่ยง และยอมรับความคลุมเครือ

การสื่อสารและการทำงานร่วมกัน: พัฒนาทักษะการสื่อสารของนักเรียนทั้งด้วยวาจาและการเขียน ตลอดจนความสามารถในการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ กระตุ้นให้พวกเขาแสดงความคิดอย่างชัดเจน ตั้งใจฟังผู้อื่น และทำงานร่วมกันในทีมที่หลากหลาย

ส่วนที่ 3: การบูรณาการนวัตกรรมเข้ากับหลักสูตร
การบูรณาการนวัตกรรมเข้ากับหลักสูตรช่วยให้นักเรียนมีโอกาสใช้ทักษะของตนในวิชาต่างๆ ต่อไปนี้คือวิธีการผสมผสานนวัตกรรมในสาขาวิชาต่างๆ:

การเรียนรู้ด้วยโครงงาน: รวมประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยโครงงานที่กระตุ้นให้นักเรียนระบุปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง เสนอวิธีแก้ปัญหาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ และทำงานร่วมกันเพื่อนำความคิดของตนไปใช้

การคิดเชิงออกแบบ: แนะนำวิธีการคิดเชิงออกแบบ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเข้าใจผู้ใช้ การกำหนดปัญหา การระดมความคิดในการแก้ปัญหา การสร้างต้นแบบ และการทดสอบ ใช้แนวทางนี้ในทุกวิชาเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์

STEM และ STEAM Education: บูรณาการการศึกษา STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) หรือ STEAM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ ศิลปะ และคณิตศาสตร์) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แบบสหวิทยาการและการสำรวจภาคปฏิบัติ

inline by ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

หลักการ การทำ Branding

รับออกแบบ website

Introduction :
ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน การสร้างแบรนด์มีบทบาทสำคัญในการจับสาระสำคัญ เป้าหมาย และความคาดหวังของแบรนด์ ทำหน้าที่เป็นรากฐานสำหรับความคิดริเริ่มทางการตลาด ทิศทางที่สร้างสรรค์ หลักประกันการขาย และการรับรู้ของสาธารณชนโดยรวม การเข้าใจหลักการของการสร้างแบรนด์

Overview of Branding Today ภาพรวมของการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน
การสร้างแบรนด์มีความสำคัญมากขึ้นในกลยุทธ์การตลาดสมัยใหม่ บทสรุปของแบรนด์คือภาพรวมที่ครอบคลุมของวัตถุประสงค์ เป้าหมาย คุณค่า และวิสัยทัศน์ของแบรนด์ ให้ทิศทางที่ชัดเจนสำหรับทรัพย์สินของแบรนด์และช่วยให้มั่นใจถึงการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และตำแหน่งของแบรนด์ หากไม่มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ธุรกิจต่างๆ อาจประสบปัญหาในการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

The Principles of Branding หลักการของการสร้างแบรนด์

Vision Statement วิสัยทัศน์
วิสัยทัศน์ของแบรนด์แสดงวัตถุประสงค์ระยะยาวและระยะสั้น กำหนดทิศทางที่ชัดเจนสำหรับการเติบโตของแบรนด์และแรงบันดาลใจในอนาคต

Mission Statement พันธกิจ:
พันธกิจสรุปว่าแบรนด์ตั้งใจที่จะบรรลุวิสัยทัศน์อย่างไร สรุปวัตถุประสงค์ของแบรนด์และการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

Brand Promise คำมั่นสัญญาของแบรนด์ :
คำมั่นสัญญาของแบรนด์ครอบคลุมแนวทางแก้ไขและความคาดหวังที่แบรนด์มีเป้าหมายเพื่อสื่อสารกับลูกค้าและผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้า เป็นการสร้างคุณค่าที่ทำให้แบรนด์แตกต่างจากคู่แข่ง

Brand Values มูลค่าแบรนด์
คุณค่าของตราสินค้าแสดงออกถึงค่านิยมหลักอันเป็นเอกลักษณ์ที่ตราสินค้ายึดถือ ตัวอย่าง ได้แก่ ความสมบูรณ์ คุณภาพ และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คุณค่าเหล่านี้มีส่วนในการสร้างเอกลักษณ์และชื่อเสียงของแบรนด์

Target Audience กลุ่มเป้าหมาย :
การเข้าใจกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างแบรนด์ที่มีประสิทธิภาพ สรุปแบรนด์ควรสรุปประเภทของผู้บริโภคที่แบรนด์ตั้งใจจะมีส่วนร่วมและให้บริการ ความรู้นี้ช่วยในการปรับแต่งกลยุทธ์ทางการตลาดและข้อความให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย

Brand Positioning การวางตำแหน่งแบรนด์
การวางตำแหน่งแบรนด์กำหนดเหตุผลสูงสุดที่ลูกค้าควรเลือกแบรนด์มากกว่าตัวเลือกอื่นๆ โดยเน้นย้ำถึงข้อเสนอการขายที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ (USP) และสื่อสารความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาด

Key Competitors คู่แข่งสำคัญ:
การระบุคู่แข่งสำคัญเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางตำแหน่งแบรนด์ สรุปแบรนด์ควรวิเคราะห์แบรนด์ที่คล้ายกันซึ่งมีแนวโน้มที่จะชนะใจผู้ชมเป้าหมายมากที่สุด การวิเคราะห์นี้ช่วยให้แบรนด์สร้างความแตกต่างและระบุพื้นที่ของโอกาส

Competitive Advantage ความได้เปรียบทางการแข่งขัน:
ความได้เปรียบในการแข่งขันรวมถึงเงื่อนไขที่ทำให้แบรนด์ได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ข้อได้เปรียบนี้อาจขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ ราคา การบริการลูกค้า หรือปัจจัยอื่นๆ ที่สร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์และทำให้ดึงดูดใจลูกค้ามากขึ้น

Digital Brandingการสร้างแบรนด์ดิจิทัล:
ในยุคดิจิทัล การสร้างแบรนด์ขยายไปไกลกว่าช่องทางเดิม การสร้างแบรนด์ดิจิทัลเกี่ยวข้องกับการสร้างประสบการณ์แบรนด์ที่เหนียวแน่นและสอดคล้องกันทั่วทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และการโฆษณาดิจิทัล มันต้องการแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อให้แน่ใจว่าข้อความและภาพของแบรนด์สอดคล้องกับเอกลักษณ์โดยรวมของแบรนด์

สรุปหลักการของการสร้างแบรนด์:
หลักการของการสร้างแบรนด์เกี่ยวข้องกับการกำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจของแบรนด์ที่ชัดเจน การกำหนดคำมั่นสัญญา คุณค่า และกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ และการวางตำแหน่งแบรนด์ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง การสร้างแบรนด์ที่มีประสิทธิภาพจะสร้างเอกลักษณ์และความแตกต่างของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งนำไปสู่ความภักดีของลูกค้าและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด

inline : ผศ.ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

แนวทางการเขียน Prompt ครั้งที่ 1 สำหรับศิลปิน ภาพพิมพ์

ตัวอย่าง Prompt สำหรับงานศิลปะ

หากต้องการสร้างตัวสร้างพร้อมท์สำหรับงานภาพพิมพ์ คุณสามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:

ระบุวัตถุประสงค์: กำหนดเป้าหมายของเครื่องกำเนิดพรอมต์ มันหมายถึงการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ ผลักดันขอบเขตทางศิลปะ หรือช่วยให้ศิลปินก้าวข้ามอุปสรรคทางความคิดสร้างสรรค์หรือไม่? การทำความเข้าใจจุดประสงค์จะเป็นแนวทางในการพัฒนาคำแนะนำที่เหมาะสม

เทคนิคการทำภาพพิมพ์เพื่อการวิจัย: ทำความคุ้นเคยกับเทคนิคภาพพิมพ์ต่างๆ เช่น การพิมพ์แบบนูน ภาพพิมพ์แกะ พิมพ์หิน พิมพ์สกรีน และพิมพ์เดียว ได้รับความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือ วัสดุ และกระบวนการที่เกี่ยวข้องในแต่ละเทคนิค วิธีนี้จะช่วยคุณสร้างคำแนะนำเฉพาะสำหรับวิธีการพิมพ์แบบต่างๆ

รวบรวมรายการองค์ประกอบ: ทำรายการองค์ประกอบต่างๆ ที่สามารถใช้ในงานภาพพิมพ์ เช่น เส้น รูปร่าง พื้นผิว ลวดลาย และสี พิจารณาทั้งรูปแบบอินทรีย์และรูปทรงเรขาคณิต ตลอดจนวัตถุที่เป็นนามธรรมและวัตถุที่เป็นตัวแทน

สำรวจธีมและแนวคิด: ระดมความคิดเกี่ยวกับธีมหรือแนวคิดต่างๆ ที่น่าสนใจสำหรับช่างพิมพ์ ซึ่งอาจรวมถึงธรรมชาติ ทิวทัศน์เมือง ภาพบุคคล ตำนาน อารมณ์ หรือประเด็นทางสังคม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าธีมมีความหลากหลายและกว้างพอที่จะตอบสนองความต้องการของศิลปินที่แตกต่างกัน

ผสมและจับคู่: รวมองค์ประกอบจากขั้นตอนที่ 3 กับธีมจากขั้นตอนที่ 4 เพื่อสร้างกลุ่มตัวเลือกพร้อมท์ ตัวอย่างเช่น “สร้างภาพพิมพ์นูนโดยใช้รูปทรงธรรมชาติที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ” หรือ “ออกแบบภาพพิมพ์หน้าจอที่แสดงภาพทิวทัศน์ของเมืองโดยใช้รูปแบบเรขาคณิต” มุ่งมั่นที่จะสร้างการแจ้งเตือนที่หลากหลายซึ่งรวมถึงเทคนิค องค์ประกอบ และธีมต่างๆ

เพิ่มข้อจำกัด: แนะนำข้อจำกัดหรือความท้าทายเพิ่มเติมให้กับข้อความแจ้งเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ข้อจำกัดเหล่านี้อาจรวมถึงการใช้สีที่จำกัด การทดลองพื้นผิว การใช้อารมณ์เฉพาะ หรือใช้วัสดุที่แปลกใหม่

พิจารณาระดับทักษะ: จดจำระดับทักษะของศิลปินที่จะใช้เครื่องมือสร้างพร้อมท์ รวมคำแนะนำที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ศิลปินระดับกลาง และผู้ฝึกฝนขั้นสูง ปรับความซับซ้อนหรือข้อกำหนดทางเทคนิคให้เหมาะสม

ทดสอบและขัดเกลา: แชร์เครื่องมือสร้างพร้อมท์กับศิลปินภาพพิมพ์และรวบรวมคำติชม วิธีนี้จะช่วยคุณระบุช่องว่าง ความไม่สอดคล้องกัน หรือการปรับปรุงที่สามารถทำได้ ปรับแต่งข้อความแจ้งตามคำติชมที่ได้รับ

นำเสนอพรอมต์: สร้างรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับตัวสร้างพรอมต์ ซึ่งอาจเป็นเครื่องมือออนไลน์ แอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ สำรับไพ่ หรือเอกสาร PDF จัดระเบียบคำแนะนำในลักษณะที่สมเหตุสมผลและเป็นมิตรกับผู้ใช้ เช่น ตามเทคนิค ธีม หรือระดับความยาก

ส่งเสริมการทดลอง: เน้นย้ำว่าคำแนะนำมีไว้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและผลักดันให้ศิลปินสำรวจแนวคิดใหม่ๆ กระตุ้นให้ศิลปินตีความข้อความแจ้งด้วยวิธีที่ไม่เหมือนใคร ทดลองเทคนิคต่างๆ และเพิ่มสไตล์ส่วนตัวลงในงานศิลปะ

ตัวอย่าง Prompt :

“Create a linocut print depicting a serene landscape at sunset, using bold and expressive lines to capture the mood.”

“Experiment with the intaglio technique to create a print inspired by underwater life. Incorporate intricate textures and layers to capture the depth and movement of aquatic creatures.”

“Produce a screen print that combines geometric patterns and vibrant colors to represent a bustling cityscape at night.”

“Explore the monotype technique to create an abstract composition inspired by music. Use expressive brushwork and overlapping shapes to convey rhythm and movement.”

ข้อความนี้กระตุ้นให้ศิลปินทดลองเทคนิคโมโนไทป์และดึงแรงบันดาลใจจากดนตรี แนะนำการใช้พู่กันที่สื่อความหมายและรูปทรงที่ทับซ้อนกันเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของจังหวะและการเคลื่อนไหว ทำให้ศิลปินสามารถแปลประสบการณ์การได้ยินของดนตรีให้กลายเป็นงานศิลปะที่มองเห็นได้

byline : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

ไอเดียสำหรับการใช้ ChatGPT. กับองค์กรธุรกิจ

รับออกแบบ Website

ไอเดียดีๆ สำหรับการพัฒนาให้พนักงานในองค์กรใช้ประโยชน์จาก ChatGPT. เพื่อลดเวลาในการทำงานแต่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า โปรแกรม AI. กำลังมีบบาทในโลกการทำงานมากยิ่งขึ้น ทีนี้ตามมาด้วยคำถามว่า AI. มากมายเกลื่อน Internet เราจะใช้ประโยชน์จากมันยังไง โดยเฉพาะ โปรแกรมที่เปิดตัวได้อย่างรวดเร็วกับการตอบรับท้วมท้น อย่าง ChatGPT.

ทีนี้เราจะมาดูกันว่ามีไอเดียอะไรมี่จะนำมันไมปใช้งานเพื่อลดเวลาการทำงานแต่เพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น

  1. ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า: สามารถใช้ ChatGPT เป็นตัวแทนฝ่ายสนับสนุนลูกค้าเสมือน จัดการข้อซักถามทั่วไปของลูกค้าและตอบกลับทันที สามารถช่วยลดเวลาในการตอบสนอง จัดการกับคำถามหลายข้อพร้อมกัน และให้การสนับสนุนที่สม่ำเสมอตลอดเวลา
  2. การเตรียมความพร้อมพนักงาน: ใช้ ChatGPT เป็นผู้ช่วยเสมือนเพื่อแนะนำพนักงานใหม่ตลอดกระบวนการเตรียมความพร้อม สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบาย ระเบียบปฏิบัติ และทรัพยากรของบริษัท ช่วยให้พนักงานใหม่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  3. การฝึกอบรมและการพัฒนา: ChatGPT สามารถทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยฝึกอบรมส่วนบุคคล โดยจัดเตรียมโมดูลการฝึกอบรมแบบโต้ตอบและตามความต้องการสำหรับพนักงาน สามารถตอบคำถาม อธิบาย และให้คำแนะนำในหัวข้อต่างๆ ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาความคิดริเริ่มภายในบริษัท
  4. ฐานความรู้และเอกสาร: ChatGPT สามารถช่วยสร้างและรักษาฐานความรู้ที่ครอบคลุมโดยการตอบคำถามที่พบบ่อย จัดทำเอกสารแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด และให้การเข้าถึงทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง สิ่งนี้สามารถช่วยให้เจ้าหน้าที่และพนักงานสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและลดการสอบถามซ้ำ
  5. การสนับสนุนการประชุม: ChatGPT สามารถช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ได้โดยการแจ้งเตือนการประชุม ความช่วยเหลือด้านการจัดกำหนดการ และสร้างวาระการประชุม นอกจากนี้ยังสามารถรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องแบบเรียลไทม์ในระหว่างการประชุม ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด
  6. การวิเคราะห์ข้อมูลและข้อมูลเชิงลึก: ChatGPT สามารถช่วยเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ชุดข้อมูลที่ซับซ้อน สร้างรายงาน และให้ข้อมูลเชิงลึก เจ้าหน้าที่สามารถรับข้อมูลและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้ด้วยการป้อนข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
  7. การวิจัยตลาด: ChatGPT สามารถช่วยเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการวิจัยตลาดโดยการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์แนวโน้ม และสร้างรายงาน สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับความชอบของลูกค้า การวิเคราะห์คู่แข่ง และแนวโน้มอุตสาหกรรม ช่วยให้เจ้าหน้าที่ตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด
  8. กลยุทธ์และการวางแผน: สามารถใช้ ChatGPT เป็นเครื่องมือระดมความคิด ช่วยให้เจ้าหน้าที่สร้างแนวคิด ประเมินกลยุทธ์ต่างๆ และให้ข้อเสนอแนะ สามารถจำลองสถานการณ์ เสนอแนวทางอื่น และอำนวยความสะดวกในการอภิปรายเชิงกลยุทธ์
  9. การสื่อสารภายใน: ChatGPT สามารถช่วยปรับปรุงการสื่อสารภายในโดยส่งการแจ้งเตือน ประกาศ และการอัปเดตไปยังเจ้าหน้าที่และพนักงาน อีกทั้งยังสามารถอำนวยความสะดวกในช่องทางการติดต่อ ตอบคำถาม และให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์
  10. ความช่วยเหลือส่วนบุคคล: เจ้าหน้าที่สามารถใช้ ChatGPT เป็นผู้ช่วยส่วนตัว มอบหมายงาน จัดการปฏิทิน และแจ้งเตือน สามารถช่วยปรับปรุงขั้นตอนการทำงาน เพิ่มผลผลิต และช่วยเจ้าหน้าที่ในการจัดลำดับความสำคัญของงาน

    แม้ว่า ChatGPT จะให้การสนับสนุนที่มีคุณค่าได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องติดตามและตรวจสอบข้อมูลที่สร้างขึ้น เนื่องจากบางครั้งอาจให้การตอบสนองที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ การกำกับดูแลและการแทรกแซงโดยมนุษย์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรับรองความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้รับจาก ChatGPT

byline : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ