ปรัชญาจิตสัมบูรณ์ ตามทัศนะ วิลเฮ็ล์ม ฟรีดริช เฮเกิล The Absolute Mind in Hegel

พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

จิตสัมบูรณ์ของเฮเกลมีความแตกต่างและต่อยอดจากแนวคิดปรัชญาตะวันตกอื่น ๆ หลายประการ โดยเฮเกลได้นำเสนอแนวคิดที่บูรณาการและก้าวข้ามข้อจำกัดของปรัชญารุ่นก่อนหน้า ผ่านกระบวนการวิภาษวิธี (Dialectical Method) เพื่อให้เข้าถึงความจริงแท้สูงสุด

นี่คือความแตกต่างและการต่อยอดจากแนวคิดปรัชญาตะวันตกที่สำคัญ:

แตกต่างและต่อยอดจากอิมมานูเอล ค้านท์ (Immanuel Kant)

◦แนวคิดของค้านท์: ค้านท์เชื่อว่าความรู้ของมนุษย์ถูกจำกัดอยู่ในโลกปรากฏการณ์ (Phenomena) เท่านั้น โดยต้องผ่านสื่อกลางคือผัสสะและกลไกของวิภาคทางฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ หรือประสบการณ์4 ความจริงแท้สูงสุด (เช่น พระเจ้า, ศีลธรรม) จะเกิดขึ้นโดยตรงกับมนุษย์ในโลกปรากฏการณ์ (ภายนอก) ไม่ได้14 ค้านท์มองว่าโลกอุดมคติ (พระเจ้า) เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่านสื่อกลาง และกลายเป็นสิ่งที่ปิดกั้นแนวคิดของมนุษย์ในด้านความรู้56. ความสุขทางคุณธรรมของพระเจ้าเป็นเพียงแรงบันดาลใจให้มนุษย์ แต่ไม่สามารถเข้าถึงโลกแห่งนาม (พระเจ้า) ได้

◦แนวคิดของเฮเกล: เฮเกลโต้แย้งค้านท์โดยกล่าวว่า มนุษย์สามารถพัฒนาจิตเข้าถึงความจริงแท้ได้ด้วย “ปรากฏการณ์แห่งจิต” ที่มีอยู่ในสัญชาตญาณของตนเอง มิใช่จากสิ่งบันดาลใด ๆ โดยประสงค์ของพระเจ้าหรือพรสวรรค์ เฮเกลเชื่อว่าจิตไม่ได้แยกออกจากโลกวัตถุแท้จริง แต่มันรวมอยู่ด้วยกัน และมนุษย์สามารถหาความจริงแท้ของโลกธรรมชาติจักรวาลได้โดยการใช้จิตคิดวิเคราะห์ตามกระบวนการวิภาษวิธีที่มีรูปแบบชัดเจน1 มนุษย์มีสิทธิที่จะกำหนดหรือขบคิดว่าสรรพสิ่งควรเป็นและไม่ควรเป็นอย่างไร โดยอาศัยสัญชาตญาณบนพื้นฐานความคิดอิสระ ผ่านกฎสากล หรือกิจกรรมเชิงภูมิปัญญาในรูปแบบแห่งตรรกเหตุผล เฮเกลนำเสนอแนวคิดที่ทำให้โลกอุดมคติ (พระเจ้า) สามารถเข้าถึงและรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตสำนึกของมนุษย์ได้ สิ่งที่มนุษย์ตระหนักรู้นั้นย่อมอยู่ในตัวมนุษย์เอง และความจริงแท้รับรู้ได้ด้วยจิตสำนึกของตัวเองโดยตรง ซึ่งเฮเกลเรียกว่า “ความรู้สัมบูรณ์” (Absolute Knowledge) หรือปัญญา

แตกต่างและต่อยอดจากเรอเน เดส์การ์ต (Rene Descartes)

◦แนวคิดของเดส์การ์ต: เดส์การ์ตใช้หลักความรู้ทางคณิตศาสตร์แบบนิรนัย (Deduction) มาเป็นเอกรูปเพื่อสร้างระบบปรัชญา โดยเริ่มจากปฐมเหตุและผลอย่างง่าย ๆ ก่อนนำขยายไปสู่ข้อที่ยุ่งยากสับสนกว่าด้วยเชาว์ปัญญา (Intuition)11 เขาเชื่อว่าการใช้ “จิต” โดยเครื่องมือกระบวนการวิภาษวิธี (Dialectical Method) สำหรับการวิเคราะห์และตัดสินใจในการสร้างระบบความรู้ (Synthesis) จะทำให้เกิดความรู้โดยสมบูรณ์ที่สุด และเขาจะไม่ใช้ระบบสิ่งสัมผัสมาเป็นหลักวิเคราะห์11 เดส์การ์ตเน้นย้ำถึงความชัดเจนในระบบความคิดของตนเองก่อนที่จะค้นหาความจริงในสรรพสิ่ง12.

◦แนวคิดของเฮเกล: เฮเกลใช้กระบวนการวิภาษวิธีคล้ายกัน (Thesis, Antithesis, Synthesis) แต่ขยายขอบเขตแนวคิดออกไปอย่างกว้างขวาง โดยไม่ละทิ้งสิ่งเก่าแต่เรียนรู้จากบริบทสังคมและปรัชญาดั้งเดิม เขานำแนวคิดปรัชญา, สังคมการเมือง, หลักคุณธรรม, สิ่งแวดล้อม, และศิลปะ มารวมกันให้เป็นเอกภาพบนฐานตรรกเหตุผล เพื่อให้เกิดการปฏิพัฒนาสู่ความรู้ใหม่ที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อสร้างสรรค์การเติบโตทางปัญญา

แตกต่างและต่อยอดจากอริสโตเติล (Aristotle)

◦แนวคิดของอริสโตเติล: อริสโตเติลมองว่าการพัฒนาของมนุษย์ไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือ “เอกคติ” หรือความดีความงามของมนุษย์ (สุนทรียศาสตร์) ซึ่งเขาเรียกว่า “ความสุข” (Happiness, Eudaimonia) เขาเชื่อว่าการตระหนักรู้ในตนเองของแต่ละคนคือวิธีที่เราดำเนินงานด้วย “จิตใต้สำนึก” ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของเราเอง อริสโตเติลถือว่าจิตของมนุษย์เป็นสิ่งสมบูรณ์คือ “จิตสำนึก” (Consciousness) ซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิตที่มีสมรรถภาพหลายระดับ เช่น ความจำ และการสร้างจินตนาการ

◦แนวคิดของเฮเกล: เฮเกลอาจมองแนวคิดอุดมคติของอริสโตเติลว่าเป็น “เอกคติ” แต่จิตสัมบูรณ์ของเฮเกลเป็นการสะท้อนออกถึง การบรรลุสู่เป้าหมายสูงสุดภายในตัวเอง โดยพัฒนาการทางปัญญาเพื่อแสวงหาความจริงไปสู่สิ่งสูงสุดได้อย่างอิสระไร้ขอบเขตและไม่ถูกปิดกั้นในเชิงความคิด จิตมีความเป็นคุณลักษณะพิเศษคือมีคุณสมบัติต่อการพัฒนาตัวเองให้หลุดพ้นจาก “ตรรกเหตุผล” ไปสู่สิ่งสูงสุดด้วยปัญญา อันจะส่งผลในการสังเคราะห์ให้เกิดความรู้ใหม่เป็นเครื่องมือนำพาตนเองและสังคมให้พัฒนาก้าวหน้าอย่างรุ่งเรืองได้

แตกต่างและต่อยอดจากจอห์น ล็อก (John Locke) และ จอร์จ เบิร์กเลย์ (George Berkeley)

◦แนวคิดของล็อกและเบิร์กเลย์: ล็อกกล่าวว่าสิ่งที่เรารับรู้ได้เกิดจากวัตถุสัมผัสกับร่างกายที่ส่งถึงส่วนเยื่อเส้นประสาททางสมอง การเห็นภาพหรือได้ยินเกิดจากสื่อกลาง หรือการรับรู้ผ่านตัวแทน (Representationalism) ซึ่งรับรู้ได้จากสิ่งเกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ทางจิต (Consciousness)21 เบิร์กเลย์เป็นนักปรัชญาจิตนิยมที่เชื่อว่าสรรพสิ่งก็คือจิต (Mind) หรือขึ้นอยู่กับจิต การรับรู้ว่าวัตถุนั้นมีอยู่จริง (Exist) ก็ต่อเมื่อมันถูกรับรู้เป็นประสบการณ์ (Phenomena) จากจิต21 วัตถุในธรรมชาตินั้นไม่อาจมีอยู่โดยเป็นอิสระจากจิตได้ นั่นคือ “การมีอยู่คือการถูกรับรู้” (Being is Perceived) เพราะสรรพสิ่งมีอยู่เพราะมีมนุษย์เป็นผู้รับรู้

◦แนวคิดของเฮเกล: เฮเกลเชื่อว่าจิตไม่ได้แยกออกจากโลกวัตถุแท้จริง แต่มันรวมอยู่ด้วยกัน1 แม้จะมีความคล้ายคลึงกับจิตนิยมของเบิร์กเลย์ที่ว่าการมีอยู่ขึ้นอยู่กับการรับรู้ของจิต แต่เฮเกลเน้นย้ำถึง กระบวนการที่จิตสร้างและพัฒนาแนวคิดจนสูงสุดนำไปสู่ภาวะจิตสัมบูรณ์อันแท้จริง และเกิดขึ้นเป็นความรู้ที่เป็นสากล จิตของเฮเกลมีความสามารถในการปฏิพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องซึ่งแตกต่างจากการรับรู้ผ่านสื่อกลาง หรือการเพียงแค่ถูกรับรู้ให้มีอยู่. จิตสัมบูรณ์ของเฮเกลเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากความตระหนักรู้ภายในและสามารถหยั่งถึงความจริงแท้ของสรรพสิ่งได้โดยตรง

อิทธิพลต่อแนวคิดร่วมสมัย แนวคิดจิตสัมบูรณ์ของเฮเกลถือเป็นฐานแนวคิดของนักปรัชญาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่เน้นจุดสำคัญทางความคิดอย่างอิสระโดยปัญญา2425 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องวิภาษวิธีของนายกับทาส (Master–Slave Dialectic) ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อนักคิด เช่น คาร์ล มาร์กซ (Karl Marx) ซึ่งนำวิภาษวิธีขั้นสูงของเฮเกลไปใช้ในการโต้แย้งอย่างมีระบบเหตุผลและหลักฐานที่เป็นจริง นอกจากนี้ อิทธิพลของเฮเกลยังปรากฏในแนวคิด “นวยุคนิยมสายกลาง” (moderate postmodernism) ที่เปิดใจกว้างในการแลกเปลี่ยนทัศนะและแสวงหาจุดร่วมเพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์

โดยสรุปแล้ว จิตสัมบูรณ์ของเฮเกลเป็นการนำปรัชญาที่เป็นประโยชน์และดีที่สุดมารวมกันเพื่อพัฒนาคุณค่าทางจิตสำนึก (ปัญญา) ของมนุษย์ให้สูงที่สุด ตามวิถีอัตวิสัยของตนเอง28 มันเป็นกระบวนการนามธรรม (ทัศนะ) เพื่อหาคำตอบที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ จนสร้างเป็นสิ่งสัมบูรณ์ทางรูปธรรม (ศาสตร์) ในด้านจิตนิยมของอภิปรัชญาเฮเกล

อิทธิพลและคุณค่าของแนวคิดจิตสัมบูรณ์มีผลต่อมนุษย์และสังคมอย่างไรในปัจจุบัน?

แนวคิด “จิตสัมบูรณ์” (The Absolute Mind) ของเฮเกลมีอิทธิพลและคุณค่าอย่างมากต่อมนุษย์และสังคมในปัจจุบัน โดยสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาปัญญาและสร้างประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้:

อิทธิพลต่อแนวคิดทางปรัชญาและสังคม:

•รากฐานของปรัชญาในศตวรรษที่ 20 แนวคิดจิตสัมบูรณ์ของเฮเกลถือเป็นฐานแนวคิดสำคัญของนักปรัชญาในคริสต์ศตวรรษที่ 201… โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปรัชญาจิตของเฮเกลได้กลายเป็นรากฐานของปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่ และขยายขอบเขตการศึกษาปรัชญาร่วมสมัยในด้านต่าง ๆ ทั้งสุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) ภววิทยา (Ontology) และการเมืองการปกครอง (Politics)

•เครื่องมือในการวิเคราะห์และการพัฒนา เฮเกลได้สร้างระบบความคิดที่มีตรรกะเหตุผลที่เรียกว่า “ปฏิพัฒนาการ” หรือระบบวิภาษวิธี (Dialectical Logic) ซึ่งเป็นกระบวนการคิด 3 ระยะ: บทตั้ง (Thesis) บทแย้ง (Antithesis) และบทสังเคราะห์ (Synthesis) แนวคิดนี้ได้สร้างชื่อเสียงให้เฮเกลอย่างมาก และถูกนำไปใช้โดยนักคิดคนสำคัญ เช่น คาร์ล มาร์กซ (Karl Marx) ในการใช้ทักษะวิภาษวิธีขั้นสูงในการโต้แย้งอย่างเป็นระบบ

•ความนิยมและการแลกเปลี่ยนทัศนะ แนวคิดของเฮเกลหรือ “จิตนิยมเฮเกล” (Hegelian) เป็นที่นิยมทั่วยุโรปในช่วงก่อนเปลี่ยนโครงสร้างนิยมในศตวรรษที่ 20 ซึ่งเรียกว่า “นวยุคนิยมสายกลาง” (moderate postmodernism) ที่เป็นกรอบแนวคิดที่เป็นกลาง ไร้อคติ และเปิดใจกว้างในการแลกเปลี่ยนทัศนะเพื่อแสวงหาจุดร่วมในการพัฒนามนุษย์

•การโต้แย้งกับแนวคิดเดิม แนวคิดจิตสัมบูรณ์ของเฮเกลได้โต้แย้งกับแนวคิดของค้านท์ (Immanuel Kant) ที่เชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ถูกจำกัดอยู่ในโลกภววิทยาและไม่สามารถเข้าถึงความจริงสัมบูรณ์ (พระเจ้า) ได้ เฮเกลแย้งว่า มนุษย์มีสิทธิที่จะกำหนดหรือขบคิดว่าสิ่งต่าง ๆ ควรเป็นอย่างไร โดยอาศัยสัญชาตญาณบนพื้นฐานความคิดอิสระ และสามารถเข้าถึงโลกอุดมคติได้ด้วยสติปัญญาของตนเอง

คุณค่าและประโยชน์ต่อมนุษย์และสังคม:

•การพัฒนาปัญญาและอิสรภาพทางความคิด จิตสัมบูรณ์ในทัศนะของเฮเกลเน้นย้ำถึงลักษณะพิเศษของจิตในการพัฒนาสัญชาตญาณในตนเองอย่างอิสระไร้ขอบเขตและไม่ถูกปิดกั้นในเชิงแนวคิด เพื่อให้หลุดพ้นจาก “ตรรกเหตุผล” และก้าวไปสู่สิ่งสูงสุดด้วยปัญญาซึ่งจะส่งผลให้เกิดความรู้ใหม่ที่เป็นประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ต่อตัวมนุษย์เองและสังคมโลก

•การแสวงหาความจริงและการพัฒนาตนเอง แนวคิดนี้สะท้อนถึงการบรรลุเป้าหมายสูงสุดภายในตัวเอง โดยพัฒนาการทางปัญญาเพื่อแสวงหาความจริง (Truth) ไปสู่สิ่งสูงสุดได้อย่างอิสระไร้ขอบเขต และไม่ถูกปิดกั้นทางความคิด จิตหรือสัญชาตญาณนี้มีคุณสมบัติพิเศษในการพัฒนาตนเอง เพื่อให้หลุดพ้นจากตรรกเหตุผลไปสู่สิ่งสูงสุดด้วยปัญญา และเป็นเครื่องมือนำพาตนเองและสังคมให้พัฒนาก้าวหน้าอย่างรุ่งเรือง

•การรวมเป็นหนึ่งเดียวของความคิดและสสาร เฮเกลมองว่าจิตใจไม่ได้แยกออกจากโลกวัตถุ แต่รวมอยู่ด้วยกัน มนุษย์สามารถหาความจริงแท้ของโลกธรรมชาติจักรวาลได้ด้วยการใช้จิตคิดวิเคราะห์ตามกระบวนการวิภาษวิธีที่ชัดเจน

•การสร้างความรู้ที่เป็นสากลและไม่จำกัด ความรู้ที่เกิดขึ้นจากภาวะจิตสัมบูรณ์มีลักษณะเป็นสากล (Universe) สามารถบังเกิดเป็นจริงได้โดยไม่จำกัดกาล (Time) และสถานที่ (Space) โดยการสังเคราะห์ (Synthesis) จากสัญชาตญาณในจิตใต้สำนึกของมนุษย์

•การขับเคลื่อนความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน กระบวนการวิภาษวิธีของเฮเกล ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาแนวคิดพื้นฐาน (Idea) ที่เป็นกลาง เปิดกว้าง และแสวงหาจุดร่วม ไปสู่การค้นหาจุดบกพร่อง (Logic/Antithesis) และการสังเคราะห์เป็นสิ่งสัมบูรณ์ (Spirit/Synthesis)1718 กระบวนการนี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด คล้ายกับการเติบโตของต้นไม้ที่พัฒนาต่อยอดไปเรื่อย ๆ1819 ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือองค์กรสู่ความยั่งยืนทางธุรกิจได้

•การเชื่อมโยงมนุษย์สู่โลกอุดมคติ แนวคิดของเฮเกลเป็นการดึงโลกอุดมคติให้มนุษย์สามารถเชื่อมโยงเข้าถึงภายในตัวเองได้ โดยไม่มีสิ่งใดเกินความสามารถที่จะเอื้อมถึง เกิดเป็นความจริงแท้ที่รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณของตนเอง

•คุณค่าทางภูมิปัญญา จิตสำนึกของมนุษย์นั้นไม่หยุดนิ่ง มีการปฏิพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาคือองค์อสัมพัทธ์ หรือจิตสัมบูรณ์22 สิ่งสัมบูรณ์จึงหมายถึงคุณภาพอันสูงส่งทางปัญญาที่สมบูรณ์แบบ เป็นภูมิปัญญาที่มีระดับเป็นเอกภาวะ และมีความเป็นสากล ซึ่งมีคุณค่ามากกว่ามโนทัศน์ใด ๆ ของความพอใจทางอารมณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น23

•การรอมชอมและบูรณาการ จิตสัมบูรณ์ของเฮเกลคือหลักการประนอมทางแนวคิดเข้าด้วยกัน โดยการกลั่นกรองปรัชญาที่เป็นประโยชน์และดีที่สุดสู่แนวคิดสัมบูรณ์ต่อการพัฒนาคุณค่าทางจิตสำนึก (ปัญญา) ของมนุษย์ให้ได้สูงที่สุดตามวิถีอัตวิสัย24 ผู้เขียนยังได้เปรียบเทียบการผสมผสานทางปรัชญา การวิเคราะห์ และการสังเคราะห์แนวคิดของเฮเกลกับการ “อธิปัญญาสิกขา” (การพัฒนาปัญญา) ทางพุทธปรัชญา

byline : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ