หลักการ StoryBrand ตอนที่ 1

พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

จากหนังสือ Building a StoryBrand ตอนที่ 1 ตัวละคร
หลักการ StoryBrand ข้อที่หนึ่ง: ลูกค้าคือตัวเอก ไม่ใช่แบรนด์ของคุณ

ตัวละคร
หลักการ StoryBrand ข้อที่หนึ่ง: ลูกค้าคือตัวเอก ไม่ใช่แบรนด์ของคุณ

เรื่องราวจะเริ่มน่าสนใจจริง ๆ ก็ต่อเมื่อตัวเอกต้องปลดชนวนระเบิด, พิชิตใจใครสักคน, ปราบวายร้าย, หรือดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดทางกายหรือใจ เรื่องราวเริ่มต้นจาก “ตัวเอกที่ต้องการบางสิ่ง” และคำถามต่อไปก็คือ: ตัวเอกจะได้สิ่งนั้นหรือไม่?

ก่อนที่เราจะรู้ว่าตัวเอกต้องการอะไร คนดูก็ยังไม่ค่อยสนใจชะตากรรมของเธอเท่าไร นี่คือเหตุผลที่นักเขียนบทต้องกำหนดเป้าหมายของตัวละครภายในเวลา 9 นาทีแรกของหนัง เช่น:

  • ผู้แพ้จะได้เลื่อนตำแหน่งไหม?
  • นักวิ่งจะเข้าเส้นชัยไหม?
  • ทีมจะคว้าแชมป์หรือเปล่า?

คำถามพวกนี้จะดึงผู้ชมให้อยู่กับหนังไปตลอด


ในเชิงแบรนด์ สิ่งสำคัญคือเราต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า ลูกค้าต้องการอะไร เพราะเมื่อเรากำหนดสิ่งนั้นได้ ก็จะเกิด “คำถามในใจของลูกค้า”:
แบรนด์นี้จะช่วยให้ฉันได้สิ่งที่ต้องการจริงไหม?

เช่น รีสอร์ตหรูแห่งหนึ่งที่จ้างเราไปช่วยปรับข้อความโฆษณา เดิมทีโฆษณาของพวกเขาเต็มไปด้วยภาพร้านอาหาร เคาน์เตอร์ต้อนรับ และพนักงาน—ทุกอย่างดูดี แต่ก็ไม่ได้เชิญชวนให้ลูกค้า “เข้าไปอยู่ในเรื่องราว”

ลูกค้าของพวกเขาต้องการประสบการณ์ “พักผ่อนอย่างหรูหรา” เราจึงเปลี่ยนเนื้อหาในเว็บไซต์ใหม่ให้เต็มไปด้วยภาพอ่างอาบน้ำ ผ้าขนหนูนุ่ม เก้าอี้โยกบนระเบียงที่ลมพัดใบไม้ไหว พร้อมข้อความว่า:
“ค้นหาความหรูหราและการพักผ่อนที่คุณตามหา”

วลีนี้กลายเป็นคติประจำองค์กร พนักงานทุกคนเข้าใจเป้าหมายเดียวกัน คือ “ทำให้ลูกค้าได้รับความหรูหราและพักผ่อน” ทุกคนจึงรู้หน้าที่ของตนในเรื่องราวที่แบรนด์กำลังเล่า


อีกตัวอย่าง:

  • นักวางแผนการเงิน: “แผนเกษียณของคุณ”
  • สมาคมศิษย์เก่า: “ฝากรอยเท้าแห่งความหมาย”
  • ร้านอาหารหรู: “มื้อที่ทุกคนจะจดจำ”
  • นายหน้าอสังหาริมทรัพย์: “บ้านในฝันของคุณ”
  • ร้านหนังสือ: “เรื่องราวที่คุณจะหลงรัก”
  • ซีเรียลเช้า: “เริ่มวันใหม่อย่างสุขภาพดี”

เปิดช่องว่างเรื่องราว (Story Gap)

การระบุความต้องการของลูกค้าคือการ “เปิดช่องว่าง” หรือ Story Gap ระหว่าง “ตัวเอก” กับสิ่งที่เขาต้องการ เช่น Jason Bourne อยากรู้ว่าเขาคือใคร แล้วเขาจะหาคำตอบได้ไหม? เมื่อเรื่องราวดำเนินไปเรื่อย ๆ ผู้ชมจะรู้สึกอยากรู้อยากเห็น และมีแรงดึงดูดให้ติดตามต่อจนจบ

มนุษย์ถูกขับเคลื่อนด้วยช่องว่างแบบนี้—อยากได้คำตอบ เช่นเดียวกับที่เพลง “Twinkle, Twinkle Little Star” จะรู้สึกขัดใจหากจบก่อนคำว่า “are”


ลดความต้องการของลูกค้าให้เหลือ “หนึ่งเดียว”

หลายแบรนด์พยายามสื่อว่าตัวเองตอบโจทย์ได้หลายอย่างมากเกินไป เช่น “เรามี 27 อย่างที่ลูกค้าต้องการ”
คำตอบคือ: อย่าทำแบบนั้น (อย่างน้อยตอนนี้)

ก่อนอื่น ให้ชัดเจนก่อนว่าลูกค้าต้องการ “อะไรเป็นหลัก” แล้วค่อยแทรกความต้องการอื่น ๆ เป็นเรื่องรอง (subplot) ในแคมเปญถัดไป


ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับ “การอยู่รอด”

ลูกค้าจะสนใจสิ่งที่เชื่อมโยงกับ “การอยู่รอด” เช่น:

  • ประหยัดเงิน: เช่น Walmart ใช้สโลแกน “Save Money. Live Better.”
  • ประหยัดเวลา: บริการทำความสะอาดที่ทำให้ลูกค้าเอาเวลาไปทำสิ่งอื่นได้
  • เครือข่ายทางสังคม: สร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
  • สถานะทางสังคม: แบรนด์หรูอย่าง Rolex, Mercedes สื่อถึงอำนาจและความสำเร็จ
  • เพิ่มทรัพยากร: ถ้าสินค้าทำให้ลูกค้า “หาเงินได้มากขึ้น” ก็เท่ากับช่วยให้เขาอยู่รอด
  • ความเอื้อเฟื้อ: การที่ลูกค้าอยากช่วยคนอื่นก็เป็นสัญชาตญาณการอยู่รอดในสังคม
  • ความหมายในชีวิต: คนอยากมี “คุณค่า” หรือ “เข้าร่วมในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า” เช่น การรณรงค์ หรือช่วยเหลือสังคม

ถามตัวเองว่า ลูกค้าของคุณอยากได้อะไร?

ถ้าคุณสามารถนิยามความต้องการของลูกค้าได้อย่างชัดเจน และสื่อให้พวกเขาเห็นว่าแบรนด์ของคุณจะช่วยให้เขา อยู่รอดและเติบโตได้ คุณจะได้ใจลูกค้าแน่นอน


byline : ผศ.ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ