BANGKOK GRAPHIC

ร้านกาแฟ ทุ่งนา จังหวัดอุทัยธานี

พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

ร้านลับ อำเภอบ้านไล่ จังหวัดอุทัยธานี เส้นก่อนไปเที่ยวน้ำตก แนะนำร้าน “คำตา Coffee” ร้านที่บรรยากาศ ทุ่งนา ลมเย็นๆ แม้กลางวันก็ไม่ร้อน ดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟชงสด วิวภูเขา ทุ่งนา อารมณ์ชนบท ที่ชาวกรุง หนีความวุ่นวายมาซ่อนเร้นแบบสงบได้เลยที่นี่

ทีนี้มาแนะนำคำศัพท์ ใน Style Web ออกแบบกับเรา Bangkok Graphic กับคำศัพท์ Field Notes ที่บันทึกการท่องเที่ยวแบบ Folk , Rustic ชนชท

Field Notes ไม่ได้เป็นเพียงร้านกาแฟอีกแห่ง มันเป็นประสบการณ์ เมื่อคุณก้าวขึ้นไปบนดาดฟ้าไม้ นาข้าวอันกว้างใหญ่จะเผยออกมาตรงหน้าคุณ คลื่นสีเขียวอันเงียบสงบทอดยาวไปสู่ขอบฟ้า อากาศมีชีวิตชีวาด้วยเสียงนกร้องและเสียงครวญครางของเครื่องจักรในฟาร์ม ทำให้เกิดซิมโฟนีแห่งดนตรีของธรรมชาติ

ภายในร้านมีการออกแบบที่เรียบง่ายช่วยเสริมเสน่ห์แบบชนบทของสภาพแวดล้อม แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ อาบพื้นที่ด้วยแสงอันอบอุ่น และเน้นพื้นผิวธรรมชาติของไม้และไม้ไผ่ กลิ่นหอมของกาแฟสดอบอวลไปในอากาศ เชิญชวนให้คุณนั่งพักผ่อนบนเก้าอี้เท้าแขนแสนสบายและจิบเครื่องดื่มสักแก้ว

พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

เมนูที่ Field Notes นำเสนอเมล็ดกาแฟคั่วในท้องถิ่นที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี โดยนำเสนอวิธีการชงที่หลากหลายเพื่อให้เหมาะกับรสนิยมของคุณ ไม่ว่าคุณจะชอบเอสเปรสโซช็อตเข้มข้นหรือเทแบบนุ่มนวล บาริสต้าผู้ชำนาญจะรังสรรค์กาแฟที่สมบูรณ์แบบเพื่อปลุกประสาทสัมผัสของคุณ เมนูอาหารช่วยเติมเต็มกาแฟด้วยขนมอบจากท้องถิ่น อาหารทานเล่น และอาหารตามฤดูกาล ซึ่งหลายอย่างผสมผสานวัตถุดิบสดใหม่จากฟาร์มโดยรอบ

แต่ Field Notes เป็นมากกว่าสถานที่สำหรับการเพลิดเพลินกับกาแฟดีๆ สักแก้ว เป็นพื้นที่ที่ส่งเสริมการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ ชุมชน และศิลปะแห่งการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ เดินเล่นในนาข้าว สัมผัสดินอันอบอุ่นใต้ฝ่าเท้า และชมความงามของโลกแห่งธรรมชาติโดยตรง ร่วมสนทนากับเพื่อนรักกาแฟหรือพนักงานที่เป็นมิตรซึ่งมีใจรักในการแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับฟาร์มและชุมชนท้องถิ่น

Field Notes เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความกลมกลืนที่คาดไม่ถึงซึ่งสามารถพบได้ระหว่างเมืองกับชนบท ทั้งสมัยใหม่และดั้งเดิม เป็นสิ่งเตือนใจว่าบางครั้งประสบการณ์ที่มีคุณค่าที่สุดก็มาจากการก้าวออกจากความธรรมดาและดื่มด่ำไปกับสิ่งที่ไม่เหมือนใครและคาดไม่ถึง ดังนั้น หากคุณกำลังมองหากาแฟสักแก้วที่ให้ความรู้สึกเงียบสงบ สถานที่ที่จะเชื่อมต่อกับธรรมชาติและตัวคุณเองอีกครั้ง Field Notes รอคุณอยู่พร้อมแขนที่เปิดกว้างและแรงบันดาลใจอันเร่าร้อน

byline ผศ.ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

การสื่อสารด้วยภาพสำหรับ Branding

พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

Visual Communication for Branding

การสื่อสารด้วยภาพสำหรับการสร้างแบรนด์เป็นกระบวนการเชิงกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและถ่ายทอดเอกลักษณ์ของแบรนด์ผ่านองค์ประกอบภาพ แนวทางปฏิบัตินี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างการปรากฏตัวของแบรนด์ การเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย และส่งเสริมการจดจำแบรนด์ ต่อไปนี้เป็นการสำรวจเชิงลึกเกี่ยวกับความหมายและความสำคัญของการสื่อสารด้วยภาพโดยละเอียดสำหรับการสร้างแบรนด์

  1. ภาพรวมการสร้างแบรนด์และการสื่อสารด้วยภาพ Visual Branding and Communication Overview
    การสร้างแบรนด์และการสื่อสารด้วยภาพประกอบด้วยการสร้างและการเผยแพร่องค์ประกอบภาพที่กำหนดแบรนด์ ซึ่งรวมถึงโลโก้ สี รูปภาพ และองค์ประกอบการออกแบบที่รวมกันเป็นอัตลักษณ์ทางภาพของแบรนด์

    การสร้างแบรนด์และการสื่อสารด้วยภาพครอบคลุมการใช้องค์ประกอบภาพเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างและสื่อสารเอกลักษณ์ของแบรนด์ แนวทางปฏิบัตินี้เป็นส่วนสำคัญต่อการตลาดและเกี่ยวข้องกับทักษะและเครื่องมือต่างๆ นี่คือภาพรวมโดยละเอียดของหัวข้อ:ความหมายและ

    วัตถุประสงค์ : การสร้างแบรนด์และการสื่อสารด้วยภาพเกี่ยวข้องกับการสร้างอัตลักษณ์ทางภาพที่เหนียวแน่นสำหรับแบรนด์ ซึ่งรวมถึงโลโก้ สี รูปภาพ และองค์ประกอบการออกแบบ จุดประสงค์คือเพื่อถ่ายทอดคุณค่าของแบรนด์ สร้างการจดจำ และกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกในกลุ่มเป้าหมาย

    องค์ประกอบสำคัญ:
    การสร้างแบรนด์ด้วยภาพประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ เช่น โลโก้ การพิมพ์ โทนสี และจินตภาพ องค์ประกอบเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างภาษาภาพที่แสดงถึงแบรนด์อย่างสม่ำเสมอ

    การสื่อสารแบรนด์ : การสร้างแบรนด์ด้วยภาพเป็นรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารแบรนด์ โดยที่องค์ประกอบภาพจะสื่อสารเอกลักษณ์ ค่านิยม และข้อความของแบรนด์ไปยังผู้ชม การสื่อสารนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างการรับรู้และความไว้วางใจในแบรนด์

    ความสำคัญเชิงกลยุทธ์ : การสร้างแบรนด์ด้วยภาพเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การตลาด ไม่เพียงแต่ทำให้แบรนด์แตกต่างจากคู่แข่งเท่านั้น แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่น่าจดจำและสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยในการจดจำและความภักดีของลูกค้า

    เครื่องมือและทักษะ:
    การสร้างแบรนด์ด้วยภาพอย่างเชี่ยวชาญต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในเครื่องมือ เช่น ซอฟต์แวร์การออกแบบกราฟิก และทักษะต่างๆ เช่น การทำความเข้าใจทฤษฎีสี การพิมพ์ และหลักการออกแบบ เครื่องมือและทักษะเหล่านี้มีส่วนช่วยในการสร้างและการนำกลยุทธ์การสร้างแบรนด์เชิงภาพไปใช้อย่างมีประสิทธิผล

    การวิจัยและการจัดตำแหน่งเนื้อหา :
    การสื่อสารด้วยภาพแบรนด์เกี่ยวข้องกับการจัดการวิจัยเพื่อสร้างเนื้อหาแบรนด์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการทำความเข้าใจความต้องการของผู้ชมและนำผลการวิจัยมารวมเข้ากับองค์ประกอบภาพ

2. ประโยชน์ของการสร้างแบรนด์การสื่อสารด้วยภาพ Benefits of Visual Communication Branding
การสร้างแบรนด์ด้วยการสื่อสารด้วยภาพให้ประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยให้ธุรกิจสร้างเอกลักษณ์ที่มีเอกลักษณ์และเป็นที่จดจำได้ผ่านการใช้แบบอักษร สี และการออกแบบที่เฉพาะเจาะจง

การสื่อสารด้วยภาพในการสร้างแบรนด์มีข้อดีหลายประการซึ่งมีส่วนช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ต่อไปนี้คือการสำรวจโดยละเอียดเกี่ยวกับคุณประโยชน์ต่างๆ:

การรับรู้ถึงแบรนด์ที่ดีขึ้น :
การสื่อสารด้วยภาพช่วยเพิ่มการจดจำแบรนด์โดยการจัดวางภาพ การออกแบบ และกราฟิกอย่างมีกลยุทธ์ ความคุ้นเคยนี้ปลูกฝังเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่น่าจดจำ

เพิ่มความภักดีของลูกค้า :
ด้วยการใช้องค์ประกอบภาพอย่างมีประสิทธิภาพ แบรนด์สามารถสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกที่สะท้อนกับลูกค้าได้ สิ่งนี้ส่งเสริมความภักดีในขณะที่ลูกค้าเชื่อมโยงทางอารมณ์กับแบรนด์

ความชัดเจนและความเข้าใจ :
การสื่อสารด้วยภาพมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้คำพูดเพียงอย่างเดียว ช่วยให้เข้าใจแนวคิดที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ดึงดูดความสนใจและช่วยในการถ่ายทอดข้อความได้อย่างชัดเจน

การจัดส่งข้อมูลโดยตรง :
การสื่อสารด้วยภาพช่วยให้สามารถส่งข้อมูลได้โดยตรงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ความฉับไวนี้มีข้อได้เปรียบในการดึงดูดความสนใจของผู้ชมและถ่ายทอดข้อความได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เพิ่มการมีส่วนร่วมและการรักษาลูกค้า :
การควบคุมประโยชน์อันทรงพลังของการสื่อสารด้วยภาพช่วยให้แบรนด์ตัดเสียงรบกวน เพิ่มการเก็บข้อมูล และเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ชม เนื้อหาภาพมีแนวโน้มที่จะถูกจดจำมากขึ้น

3. คู่มือสำคัญสำหรับการสร้างแบรนด์ด้วยภาพ Essential Guide to Visual Branding
ภาพลักษณ์แบรนด์ของคุณทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญ เสริมสร้างบุคลิกภาพของแบรนด์คุณผ่าน “ภาษา” เชิงภาพลักษณ์ที่คุณใช้

4. การสื่อสารด้วยภาพเพื่อการเล่าเรื่องของแบรนด์ Visual Communication for Brand Storytelling
การสร้างเอกลักษณ์ทางภาพที่สอดคล้องกัน รวมถึงโลโก้ สี รูปภาพ และองค์ประกอบการออกแบบ ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสื่อสารด้วยภาพที่มีประสิทธิภาพในการเล่าเรื่องของแบรนด์

การสื่อสารด้วยภาพมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดเรื่องราวของแบรนด์และสร้างเรื่องราวของแบรนด์ที่น่าสนใจ ต่อไปนี้เป็นการสำรวจโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการใช้การสื่อสารด้วยภาพเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์:

ปรับปรุงการสื่อสารแบรนด์ :
การเล่าเรื่องด้วยภาพเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้รูปภาพ การออกแบบ และกราฟิกเพื่อปรับปรุงการสื่อสารแบรนด์ ช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์แบบองค์รวมที่โดนใจผู้ชม

เทคนิคอันทรงพลังเพื่อเอกลักษณ์ของแบรนด์ :
การเล่าเรื่องด้วยภาพเป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารเอกลักษณ์ ค่านิยม และข้อความของแบรนด์ เป็นมากกว่าคำพูด ดึงดูดผู้ชมด้วยอารมณ์และสร้างความสัมพันธ์ที่น่าจดจำ

การมีส่วนร่วมของลูกค้าผ่านการเล่าเรื่องแบรนด์ :
แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จใช้ภาพเพื่อบอกเล่าเรื่องราวและเชื่อมต่อกับผู้ชม การสื่อสารด้วยภาพผ่านรูปภาพและกราฟิก ดึงดูดลูกค้าและช่วยสร้างการเชื่อมต่อที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

การเชื่อมต่อในระดับอารมณ์ :
การเล่าเรื่องด้วยภาพทำให้แบรนด์สามารถเชื่อมต่อกับผู้ชมได้ในระดับอารมณ์ ภาพ สีสัน และการออกแบบที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันมีส่วนช่วยสร้างเรื่องราวที่สะท้อนอารมณ์ได้

สนับสนุนข้อความของแบรนด์ :
การกำหนดเรื่องราวของแบรนด์และการระบุข้อความสำคัญถือเป็นขั้นตอนสำคัญ การสื่อสารด้วยภาพสนับสนุนและตอกย้ำข้อความเหล่านี้ผ่านภาพที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน ซึ่งมีส่วนช่วยในการเล่าเรื่องของแบรนด์ที่เหนียวแน่น

5. ความหมายเบื้องหลังการออกแบบการสื่อสารด้วยภาพ Meaning Behind Visual Communication Design
การออกแบบการสื่อสารด้วยภาพเกี่ยวข้องกับการใช้เทคนิคสื่อที่มีตราสินค้าพร้อมทิศทางศิลปะที่กำหนดไว้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน แคมเปญการออกแบบกราฟิกโดยใช้ภาพ การพิมพ์ และการจัดวาง มีส่วนช่วยให้การสื่อสารด้วยภาพมีประสิทธิภาพ

6. ความสำคัญในการออกแบบกราฟิก Importance in Graphic Design
การสื่อสารด้วยภาพในการออกแบบกราฟิกใช้รูปภาพ การพิมพ์ สี และเค้าโครงเพื่อถ่ายทอดข้อความและแบ่งปันข้อมูล โดยเน้นบทบาทที่สำคัญในการออกแบบที่มีประสิทธิภาพ

เอกลักษณ์ทางภาพ :
การออกแบบกราฟิกสร้างเอกลักษณ์ทางภาพให้กับแบรนด์ โดยครอบคลุมโลโก้ โทนสี และจินตภาพ การแสดงภาพนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการจดจำแบรนด์และการสร้างความแตกต่าง

การสื่อสารและการส่งข้อความ :
ด้วยการออกแบบที่มีประสิทธิภาพ แบรนด์สามารถสื่อสารคุณค่า ข้อความ และเรื่องราวของตนได้ทางภาพ ซึ่งช่วยในการถ่ายทอดเรื่องราวของแบรนด์ที่สม่ำเสมอและน่าสนใจแก่ผู้ชม

ความสม่ำเสมอของแบรนด์ :
องค์ประกอบการออกแบบกราฟิกที่สอดคล้องกันบนแพลตฟอร์มต่างๆ ตั้งแต่เว็บไซต์ไปจนถึงสื่อทางการตลาด ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เหนียวแน่น ความสม่ำเสมอสร้างความไว้วางใจและการยอมรับในหมู่ผู้บริโภค

ความได้เปรียบในการแข่งขัน :
การออกแบบกราฟิกช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันโดยการทำให้แบรนด์ดูน่าดึงดูด วัสดุที่ออกแบบมาอย่างดีดึงดูดความสนใจและสร้างแบรนด์ให้แตกต่างจากคู่แข่ง

ประสิทธิผลทางการตลาด :
การออกแบบกราฟิกที่มีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสื่อการตลาด ตั้งแต่โพสต์บนโซเชียลมีเดียไปจนถึงโฆษณาสิ่งพิมพ์ ภาพที่ออกแบบมาอย่างดีสามารถดึงดูดและรักษาความสนใจของผู้ชมได้

ความทรงจำและการรับรู้ :
การออกแบบที่น่าจดจำและสวยงามมีส่วนช่วยในการจดจำแบรนด์ ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะจดจำและจดจำแบรนด์ที่มีองค์ประกอบการออกแบบกราฟิกที่แข็งแกร่ง

Byline : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

การออกแบบ Graphic สำหรับ Branding

Graphic Design for Branding การออกแบบเพื่อสร้างอัตลักษณ์ Identity

Graphic Design for Branding การออกแบบเพื่อสร้างอัตลักษณ์ Identity

byline : ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

หลักการออกแบบกราฟิกมีบทบาทสำคัญในการสร้างแบรนด์ที่มีประสิทธิภาพ การออกแบบอัตลักษณ์ และการสื่อสารด้วยภาพ หลักการเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นรากฐานสำหรับการสร้างสรรค์การออกแบบที่ดึงดูดสายตา น่าจดจำ และสร้างผลกระทบ ซึ่งสะท้อนกับกลุ่มเป้าหมายและแสดงถึงค่านิยมหลักของแบรนด์ได้อย่างถูกต้อง ต่อไปนี้เป็นหลักการสำคัญบางประการที่ควรพิจารณา :

  1. ลำดับชั้นและการเน้น Hierarchy and Emphasis :

จัดลำดับความสำคัญของข้อมูลและนำทางสายตาของผู้ชมผ่านการออกแบบโดยใช้ขนาด สี คอนทราสต์ และตำแหน่ง
สร้างจุดโฟกัสเพื่อดึงดูดความสนใจไปยังข้อความหรือองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด

  1. ความแตกต่าง Contrast :

ใช้สี รูปร่าง พื้นผิว และขนาดที่ตัดกันเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับองค์ประกอบและทำให้โดดเด่น
เพิ่มความสามารถในการอ่านและความสนใจทางภาพโดยหลีกเลี่ยงความซ้ำซากจำเจ

  1. สมดุลและสัดส่วน Balance and Proportion :

กระจายน้ำหนักการมองเห็นให้เท่ากันทั่วทั้งการออกแบบเพื่อสร้างความรู้สึกมั่นคงและกลมกลืน
พิจารณาอัตราส่วนทองคำเพื่อให้ได้สัดส่วนและเลย์เอาต์ที่น่าพึงพอใจ

  1. การทำซ้ำและความสม่ำเสมอ Repetition and Consistency :

ใช้องค์ประกอบการออกแบบที่เกิดซ้ำ เช่น สี แบบอักษร และลวดลาย เพื่อสร้างการจดจำแบรนด์และความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน
รักษาความสม่ำเสมอในทุกจุดสัมผัสเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้แข็งแกร่ง

  1. พื้นที่ว่าง White Space:

ใช้พื้นที่เชิงลบอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งเหยิงและเพิ่มความสามารถในการอ่าน
พื้นที่สีขาวช่วยให้องค์ประกอบต่างๆ ได้หายใจและเน้นข้อมูลสำคัญ

  1. งานออกแบบตัวอักษร Typography :

เลือกแบบอักษรที่อ่านง่าย เหมาะสมกับบุคลิกของแบรนด์ และเสริมความสวยงามของการออกแบบโดยรวม
ให้ความสนใจกับลำดับชั้นและการเว้นวรรคเพื่อให้สามารถอ่านได้ดีที่สุด

  1. จิตวิทยาสี Color Psychology :

ทำความเข้าใจความสัมพันธ์ทางอารมณ์และจิตวิทยาของสีต่างๆ และใช้อย่างมีกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นความรู้สึกที่ต้องการและการรับรู้ถึงแบรนด์
รักษาจานสีที่สอดคล้องกันซึ่งสะท้อนถึงบุคลิกของแบรนด์

  1. ภาพลักษณ์และภาพถ่าย Imagery and Photography :

ใช้ภาพคุณภาพสูงที่สอดคล้องกับข้อความของแบรนด์และโดนใจกลุ่มเป้าหมาย
พิจารณาผลกระทบขององค์ประกอบภาพ แสง และสไตล์ในการถ่ายทอดอารมณ์และบรรยากาศที่ต้องการ

  1. ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) และการเข้าถึง User Experience (UX) and Accessibility :

ออกแบบสำหรับผู้ชมและแพลตฟอร์มที่ต้องการ ทำให้มั่นใจว่าองค์ประกอบภาพสามารถเข้าถึงได้และใช้งานง่าย
พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความชัดเจน ขนาดหน้าจอ และความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม

  1. ความคิดริเริ่มและความคิดสร้างสรรค์ Originality and Creativity :

ในขณะที่ยึดมั่นในหลักการออกแบบ พยายามสร้างสรรค์ความคิดริเริ่มและความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ของคุณและโดดเด่นจากคู่แข่ง
ใส่บุคลิกภาพและคุณค่าของแบรนด์ของคุณลงในภาษาภาพ
โปรดจำไว้ว่าหลักการเหล่านี้ไม่ใช่กฎที่เข้มงวด แต่เป็นแนวทางที่จะนำไปใช้อย่างยืดหยุ่นและสร้างสรรค์ การออกแบบที่ดีที่สุดคือการออกแบบที่สร้างสมดุลระหว่างฟังก์ชันการทำงาน ความสวยงาม และการสื่อสารแบรนด์

ข้อควรคำนึง เป้าหมายงานออกแบบที่เป็นที่จดจำของ Brand

หลักการออกแบบกราฟิกมีบทบาทสำคัญในการสร้างการออกแบบที่มีประสิทธิภาพและดึงดูดสายตาในโดเมนต่างๆ รวมถึงการสร้างแบรนด์ การออกแบบเอกลักษณ์ และการออกแบบภาพ ภาพรวมของหลักการเหล่านี้และการนำไปใช้ในบริบทต่างๆ มีดังนี้

  1. ภาพสะท้อนถึงแบรนด์
    ในการสร้างแบรนด์ ภาพควรสะท้อนถึงแก่นแท้ของแบรนด์อย่างสม่ำเสมอ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างอัตลักษณ์ทางภาพที่สื่อสารถึงคุณค่า บุคลิกภาพ และข้อความของแบรนด์ การใช้สี การพิมพ์ และจินตภาพที่สอดคล้องกันจะช่วยสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
  2. น้อยแต่มาก
    ในการออกแบบอัตลักษณ์ หลักการของ “น้อยแต่มาก” เป็นสิ่งสำคัญ การลดความซับซ้อนขององค์ประกอบการออกแบบช่วยให้มั่นใจได้ถึงความชัดเจนและการจดจำ แนวทางที่เรียบง่ายและสะอาดตาช่วยในการสร้างโลโก้และเครื่องหมายแบรนด์ที่น่าจดจำซึ่งคงอยู่ตลอดกาล
  3. ตรีเอกภาพแห่งสี
    สีมีบทบาทสำคัญในการออกแบบภาพ “พระตรีเอกภาพแห่งสี” เกี่ยวข้องกับการเลือกสีหลัก สีรอง และสีเน้น หลักการนี้ทำให้ได้โทนสีที่กลมกลืนและดึงดูดสายตา สร้างประสบการณ์การรับชมภาพที่สอดคล้องกัน
  4. ลำดับชั้นและความคมชัดของภาพ
    ในการออกแบบภาพ การสร้างลำดับชั้นภาพที่ชัดเจนถือเป็นสิ่งสำคัญ ความเปรียบต่างในขนาด สี และรูปร่างช่วยนำทางสายตาของผู้ชมและเน้นองค์ประกอบที่สำคัญ หลักการนี้ช่วยในการจัดระเบียบข้อมูลและสร้างการออกแบบที่ดึงดูดสายตา
  5. พื้นที่ว่าง
    พื้นที่ว่างหรือพื้นที่เชิงลบเป็นหลักการสำคัญในการออกแบบภาพ ช่วยให้องค์ประกอบหายใจ เพิ่มความสะดวกในการอ่าน และดึงความสนใจไปที่ส่วนประกอบหลัก การใช้พื้นที่ว่างอย่างรอบคอบช่วยให้การออกแบบมีความสมดุลและสวยงามน่าพึงพอใจ
  6. กระตุ้นอารมณ์
    การออกแบบภาพควรกระตุ้นอารมณ์และเชื่อมโยงกับผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ โฆษณา หรือโพสต์บนโซเชียลมีเดีย การออกแบบควรสอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกที่ตั้งใจไว้ และสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนต่อผู้ชม
  7. เรื่องการพิมพ์
    การพิมพ์เป็นองค์ประกอบสำคัญทั้งในด้านเอกลักษณ์และการออกแบบภาพ แบบอักษรที่สอดคล้องกันและเลือกมาอย่างดีช่วยให้แบรนด์จดจำและอ่านง่าย การใส่ใจในรายละเอียดของตัวพิมพ์ทำให้ได้งานออกแบบที่เป็นมืออาชีพและสวยงาม

หลักการออกแบบกราฟิกเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแนวทางพื้นฐานสำหรับการสร้างการออกแบบที่มีประสิทธิภาพในบริบทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์ การสร้างเอกลักษณ์ หรือการออกแบบภาพ หลักการเหล่านี้มีส่วนช่วยให้เกิดประสิทธิภาพและความสวยงามของผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย

สุนทรียศาสตร์ On Ugliness โดย Umberto Eco

พิสิฐ-ตั้งพรประเสริฐ

บทความโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

สุนทรียะทางศิลปะภายใต้งานเขียนวรรณกรรมของ Umberto Eco
Umberto Eco นักสัญวิทยา นักปรัชญา และนักประพันธ์ชาวอิตาลีผู้โด่งดัง เจาะลึกขอบเขตที่ซับซ้อนของความอัปลักษณ์ในงานศิลปะ ท้าทายการรับรู้แบบเดิมๆ และเชิญชวนให้ใคร่ครวญถึงแนวคิดที่เข้าใจยาก ในการสำรวจของเขา อีโคตั้งคำถามลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของความน่าเกลียด การเป็นตัวแทนของมันในงานศิลปะ และเลนส์เชิงอัตวิสัยในการรับรู้สิ่งนั้น

ความน่าเกลียดในงานศิลปะและชีวิต
Eco ตระหนักถึงความเป็นคู่ของความอัปลักษณ์ ซึ่งมีอยู่ในงานศิลปะและชีวิต เขาแนะนำว่าพจนานุกรมมีคำพ้องสำหรับ ‘น่าเกลียด’ มากกว่าคำว่า ‘สวย’ ความร่ำรวยทางภาษานี้บ่งบอกถึงธรรมชาติของความอัปลักษณ์ที่มีหลายแง่มุม ซึ่งขยายออกไปเกินกว่าการมองเห็นเพื่อรวมเอาอารมณ์และประสบการณ์ที่หลากหลาย

มุมมองของคนรุ่น Millennials
ในช่วงเวลาร่วมสมัย การสำรวจของ Eco ได้พรรณนาถึงความน่าเกลียดที่ผสมกับเรื่องเล่าทางสังคม มีวาทกรรมที่น่าสนใจว่าคนรุ่นMillennials กับมุมมองเกี่ยวกับความอัปลักษณ์เป็นจุดหักเหของทัศนคติเชิงบวกหรือไม่ สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนแปลงระหว่างสุนทรียภาพและคุณค่าทางวัฒนธรรม

ความงามในความน่าเกลียด การตีความทางศิลปะ
มุมมองของ Eco ขยายไปไกลกว่าแค่การรับรู้ถึงความอัปลักษณ์ เขาวางตัวว่าศิลปะมีพลังในการพรรณนาสิ่งมีชีวิตและสิ่งของที่น่าเกลียดได้อย่างสวยงาม แนวคิดนี้ท้าทายการแบ่งแยกแบบเดิมๆ และเปิดช่องทางสำหรับการตีความความอัปลักษณ์ใหม่ว่าเป็นหมวดหมู่สุนทรียศาสตร์ที่เป็นอัตวิสัยและปรับเปลี่ยนได้

ความน่าเกลียดและศาสนา
ในการสะท้อนของ Eco ความเชื่อมโยงระหว่างความอัปลักษณ์และศาสนา ความเชื่อ ถูกสำรวจในบริบทของการเล่าเรื่องทางศาสนา ในเรื่องราวของนักบุญแอนโทนี ความน่าเกลียดอยู่ในสัตว์ปีศาจที่ทรมานฤาษี ในขณะที่นักบุญแอนโทนีเองก็ไม่ได้ดูเหมือน “น่าเกลียด” การตีข่าวกันนี้เน้นถึงลักษณะเชิงสัญลักษณ์ของความอัปลักษณ์ในบริบททางวัฒนธรรมและศาสนาบางอย่าง

“ความน่าเกลียด” – บทวิจารณ์หนังสือ
ผลงานของ Umberto Eco เรื่อง “On Ugness” ทำให้ผู้อ่านเกิดคำถามว่าความน่ารังเกียจอยู่ในสายตาของผู้ดูหรือไม่ หนังสือเล่มนี้ทำหน้าที่เป็นการสำรวจหัวข้อนี้อย่างครอบคลุม โดยอาศัยตัวอย่างทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่หลากหลายเพื่อคลี่คลายชั้นของความหมายที่เกี่ยวข้องกับความอัปลักษณ์

แนวคิดสุนทรีย์และการเล่นจินตนาการอย่างอิสระ
การสำรวจของ Eco สอดคล้องกับสุนทรียศาสตร์ของ Kantian ซึ่งความงามหรือความอัปลักษณ์ของแนวคิดเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์นั้นเกี่ยวพันกับการเล่นจินตนาการอย่างอิสระ การเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีสุนทรียศาสตร์กับการรับรู้ถึงความอัปลักษณ์ช่วยเสริมวาทกรรมเกี่ยวกับศิลปะและความสามารถในการกระตุ้นการตอบสนองทางอารมณ์ที่ซับซ้อน


ในการตรวจสอบความอัปลักษณ์ในงานศิลปะของ Umberto Eco ความเข้าใจอันละเอียดอ่อนได้ปรากฏออกมา ความน่าเกลียดไม่ได้จำกัดอยู่เพียงคำนิยามเดียว แต่ถูกกำหนดโดยมุมมองของวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และปัจเจกบุคคล อิทธิพลซึ่งกันและกันระหว่างความงามและความน่าเกลียด การรับรู้ที่เปลี่ยนแปลงไปของคนรุ่นมิลเลนเนียล และมิติเชิงสัญลักษณ์ในการเล่าเรื่องทางศาสนา มีส่วนทำให้เกิดการสำรวจแนวคิดที่เข้าใจยากนี้อย่างครอบคลุม

ความหมายและหลักการออกแบบ Visual Design

พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

Visual Design หลักการ สำคัญในการออกแบบ

การสื่อสารด้วยภาพเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการถ่ายทอดข้อมูลผ่านองค์ประกอบภาพ เช่น รูปภาพ สัญลักษณ์ และกราฟิก การทำความเข้าใจหลักการของการสื่อสารด้วยภาพ ภาษาด้วยภาพ และการรับรู้ด้วยภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งข้อความที่มีประสิทธิภาพ

  1. การสื่อสารด้วยภาพ
    การสื่อสารด้วยภาพเกี่ยวข้องกับการใช้องค์ประกอบภาพเพื่อถ่ายทอดข้อความ หลักการประกอบด้วย:

ความเรียบง่าย: ทำให้ภาพดูเรียบง่ายเพื่อให้เข้าใจง่าย
ความสอดคล้อง: รักษาภาษาภาพที่สอดคล้องกันเพื่อการเชื่อมโยงกัน
ความชัดเจน: รับประกันความชัดเจนในการถ่ายทอดข้อความที่ตั้งใจไว้
ตัวอย่าง:

ป้ายจราจรสามารถสื่อสารข้อความได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับสากล
อินโฟกราฟิกทำให้ข้อมูลที่ซับซ้อนง่ายขึ้นผ่านภาพ

  1. ภาษาภาพ
    ภาษาภาพครอบคลุมหลักการและองค์ประกอบการออกแบบสำหรับการสื่อความหมายด้วยภาพ:

หลักการเกสตัลท์: ควบคุมวิธีที่เรารับรู้วัตถุและความสัมพันธ์ของพวกมัน
ความสมดุลและความกลมกลืน: บรรลุความสมดุลในการจัดองค์ประกอบภาพ
การพิมพ์และสี: ใช้แบบอักษรและสีอย่างมีกลยุทธ์เพื่อสร้างผลกระทบ
ตัวอย่าง:

โลโก้รวบรวมภาษาภาพเพื่อเป็นตัวแทนของแบรนด์
เค้าโครงนิตยสารใช้ภาษาภาพเพื่อนำทางผู้อ่าน

  1. การรับรู้ทางสายตา
    การรับรู้ทางสายตาเกี่ยวข้องกับวิธีที่บุคคลตีความสิ่งเร้าทางสายตา หลักการประกอบด้วย:

องค์กรการรับรู้: หลักการทางประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ทางศิลปะ
ภาระทางปัญญา: จัดการข้อมูลเพื่อป้องกันการโอเวอร์โหลดทางปัญญา
อิทธิพลทางวัฒนธรรม: รับทราบความแตกต่างทางวัฒนธรรมในการตีความด้วยภาพ
ตัวอย่าง:

งานศิลปะเล่นกับการรับรู้ทางสายตาเพื่อกระตุ้นอารมณ์
การออกแบบเว็บไซต์คำนึงถึงประสบการณ์ของผู้ใช้เพื่อการรับรู้ที่มีประสิทธิภาพ
การทำความเข้าใจหลักการเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในด้านต่างๆ ตั้งแต่การโฆษณาไปจนถึงการออกแบบส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ การสื่อสารด้วยภาพ ภาษา และการรับรู้มีส่วนช่วยร่วมกันในศิลปะและวิทยาศาสตร์ในการถ่ายทอดข้อความด้วยภาพ ทำให้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในโลกที่เน้นการมองเห็นของเรา

by line : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

สรุป หนังสือ “Ways of Seeing” by John Berger

รับออกแบบ Graphic

สรุป หนังสือ “Ways of Seeing” by John Berger โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

“Ways of Seeing” โดย John Berger นำเสนอการสำรวจศิลปะและการรับรู้ทางสายตาอย่างลึกซึ้ง โดยท้าทายมุมมองแบบดั้งเดิม หนังสือเล่มนี้ซึ่งเริ่มแรกเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์ของ BBC ได้ทิ้งร่องรอยความเข้าใจเกี่ยวกับศิลปะไว้อย่างไม่มีวันลบเลือน ต่อไปนี้เป็นข้อมูลสรุปจากแหล่งที่มาต่างๆ

ความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในภาพ: Berger เน้นย้ำว่าภาพมีความหมายหลายชั้นเกินกว่าพื้นผิวของมัน เขาเปิดเผยความลับเบื้องหลังภาพ ทำให้ผู้อ่านมีมุมมองใหม่ในการชื่นชมงานศิลปะ

รหัสภาพเขียนสีน้ำมัน: ในบทที่ห้า เบอร์เกอร์ดำเนินการวิเคราะห์รหัสภาพเขียนสีน้ำมันในอดีต เขาเขียนแผนภูมิว่าการเพิ่มขึ้นของภาพวาดสีน้ำมันเกิดขึ้นพร้อมกับรหัสภาพบางอย่างอย่างไร

ความมั่งคั่งและการครอบครองในงานศิลปะ: ภาพวาดในหนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นคู่รักที่ร่ำรวยในที่ดินของพวกเขา โดยเน้นประเด็นเรื่องทรัพย์สินและการครอบครอง เบอร์เกอร์วิพากษ์วิจารณ์การทำให้งานศิลปะกลายเป็นสินค้า โดยท้าทายแนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับคุณค่าและความเป็นเจ้าของทางวัฒนธรรม

การเรียนรู้และการรับรู้ในวัยเด็ก: เบอร์เกอร์เจาะลึกว่าผู้คนเรียนรู้ที่จะจดจำและวางตำแหน่งตนเองโดยอิงจากสภาพแวดล้อมตั้งแต่วัยเด็กได้อย่างไร เขาเน้นย้ำถึงบทบาทของประสบการณ์ในช่วงแรกๆ ในการสร้างการรับรู้

ท้าทายมุมมองศิลปะของชนชั้นสูง: ด้วย “วิถีแห่งการมองเห็น” Berger ตั้งเป้าที่จะท้าทายมุมมองศิลปะของชนชั้นสูงและลึกลับ หนังสือเล่มนี้ส่งเสริมให้เกิดการสนทนาที่ครอบคลุมและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นเกี่ยวกับแง่มุมทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมของศิลปะ

“Ways of Seeing” โดย John Berger ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1972 และได้รับแรงบันดาลใจจากซีรีส์ทางโทรทัศน์ของ BBC ถือเป็นผลงานศิลปะที่มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้ง โดยเจาะลึกความซับซ้อนของการรับรู้ทางสายตาและท้าทายแนวทางดั้งเดิมในการทำความเข้าใจภาพวาด

การปฏิวัติมุมมองทางศิลปะ: หนังสือของ John Berger มีจุดมุ่งหมายเพื่อปฏิวัติวิธีที่เรารับรู้และตีความงานศิลปะ ด้วยการมุ่งเน้นไปที่การดูภาพเขียน Berger กระตุ้นให้ผู้อ่านพิจารณาอคติของตนเองอีกครั้ง และรับมุมมองเชิงวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเกี่ยวกับทัศนศิลป์

ที่เปิดหูเปิดตาในหลาย ๆ ด้าน: นักวิจารณ์ของ Sunday Times (ลอนดอน) บรรยายอย่างเหมาะสมว่าหนังสือเล่มนี้เป็น “ที่เปิดหูเปิดตาในหลาย ๆ ด้าน” การมุ่งเน้นไปที่กระบวนการสังเกตภาพวาดของ Berger ไม่เพียงแต่ให้ความรู้แก่ผู้อ่านเกี่ยวกับงานศิลปะเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้เกิดการพิจารณาในวงกว้างว่า เรามีส่วนร่วมกับสิ่งเร้าทางสายตาอย่างไร

Television Series Foundation: ต้นกำเนิดของหนังสือในซีรีส์ทางโทรทัศน์ของ BBC เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Berger ในการสร้างงานศิลปะให้เข้าถึงได้ ซีรีส์และหนังสือเล่มต่อๆ ไปนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้งานศิลปะเข้าใจง่ายขึ้น ท้าทายมุมมองของชนชั้นสูง และส่งเสริมให้เกิดการสนทนาที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับการแสดงออกทางศิลปะ

มุมมองที่เปลี่ยนไป: ดังที่นักวิจารณ์ของ Sunday Times ระบุไว้ ผลกระทบของ “วิถีแห่งการมองเห็น” ขยายออกไปมากกว่าแค่หน้าหนังสือเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป การสำรวจการรับรู้ทางสายตาของ Berger มีอิทธิพลต่อวิธีที่ผู้คนมองและชื่นชมภาพอย่างแท้จริง

การตรวจสอบอย่างมีวิจารณญาณของศิลปะ: เบอร์เกอร์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพิจารณางานศิลปะอย่างมีวิจารณญาณ นอกเหนือจากความสวยงาม เขาเจาะลึกว่าปัจจัยทางสังคม เช่น ชนชั้นและเพศ มีอิทธิพลต่อการรับรู้ศิลปะของเราอย่างไร

ประชาธิปไตยและความอิจฉา: เบอร์เกอร์กล่าวถึงแนวคิดเรื่องความอิจฉาในบริบทของโครงสร้างทางสังคม เขาแนะนำว่าความอิจฉาเป็นผลพลอยได้จากสังคมที่ไม่เท่าเทียมกัน และสำรวจผลกระทบของระบอบประชาธิปไตยที่มีต่อการกระจายความมั่งคั่ง

การรับรู้และอุดมการณ์: ผู้เขียนระบุว่าการรับรู้เป็นเรื่องส่วนตัวและได้รับอิทธิพลจากอุดมการณ์ของแต่ละบุคคล เขาเน้นย้ำว่าความเชื่อส่วนบุคคลส่งผลต่อความเข้าใจในศิลปะอย่างไร

การเห็นมาก่อนคำพูด: เบอร์เกอร์ยืนยันว่าการเห็นเป็นพื้นฐานของการดำรงอยู่ของเราและนำหน้าการแสดงออกทางวาจา เขาสำรวจแนวคิดที่ว่าการรับรู้ทางสายตาสร้างการเชื่อมโยงของเรากับโลกก่อนที่ภาษาจะเข้ามาแทรกแซง

คุณค่าและความเป็นเจ้าของทางวัฒนธรรม: เบอร์เกอร์ท้าทายแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับคุณค่าและความเป็นเจ้าของทางวัฒนธรรม เขาแนะนำว่าความสุขจากการถูกอิจฉาสามารถทดแทนความรู้สึกว่างเปล่าของการเป็นเจ้าของงานศิลปะได้

การทำให้งานศิลปะกลายเป็นสินค้า: ในส่วนแรกของหนังสือ เบอร์เกอร์จะตรวจสอบว่าศิลปะมักถูกดัดแปลงให้เป็นสินค้าได้อย่างไร โดยจำกัดความเข้าใจของผู้คนเกี่ยวกับความหมายที่เป็นไปได้ เขาวิพากษ์วิจารณ์การนำงานศิลปะไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และผลกระทบที่มีต่อการรับรู้ของสาธารณชน

โดยสรุป “Ways of Seeing” ท้าทายมุมมองแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับงานศิลปะ กระตุ้นให้ผู้อ่านตั้งคำถามถึงอิทธิพลทางสังคม ประเมินอุดมการณ์ส่วนบุคคลอีกครั้ง และชื่นชมธรรมชาติที่มีหลายแง่มุมของการรับรู้ทางสายตา

เทคนิคการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย ทางการตลาด

เทคนิคการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย ทางการตลาด

กลุ่ม เครื่องมือทำความรู้จักกับกลุ่มเป้าหมายด้วยการวิเคราะห์

  1. S.T.P : Segmentation, Targeting และ Positioning 

กลุ่ม เครื่องมือชุดการหาข้อมูลวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายหาความต้องการและปัญหาที่เป็นอยู่

  • Value Preposition การเสนอคุณค่าแก่ผู้บริโภค
  • Have – Do – Be ค้นหา อยากมี (อยากได้) – อยากทำ และอยากเป็น
  • มาเทียบกับระดับขั้นความต้องการด้วยเครื่องมือ Maslow Hierarchy Needs 

กลุ่ม เครื่องมือทำความรู้จักตนเองเมื่อเทียบกับคู่แข่ง และเข้าใจตลาด

  • 5Fource Model วิเคราะห์อำนาจคู่แข่งขัน 

กลุ่ม เครื่องมือการประกอบสร้าง Brand 

  • เครื่องมือสำหรับการให้ข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญของ Brand : Brand Essence Wheel 
  • เครื่องมือสำหรับการให้ข้อมูลด้านการสื่อสารอัตลักษณ์ Brand Identity Prism
  • เครื่องมือสำหรับการให้ข้อมูลสื่อสารด้านบุคลิกภาพ Brand : Carl Jung Brand Archetypes

เครื่องมือพื้นฐานสำหรับการตลาด 

  • SWOT > TOW Matrix วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน เพื่อกลยุทธ์ทางการตลาด
  • Full Funnel นำการวิเคราะห์กลยุทธ์สู่การทำการตลาดแบบเป็นขั้นตอน

  • กลุ่ม เครื่องมือทำความรู้จักกับกลุ่มเป้าหมายด้วยการวิเคราะห์
  •          โดยทั่วไป ลูกค้าจะเลือกซื้อสินค้าหรือบริการที่ให้ประโยชน์หรือมีคุณสมบัติ ตรงกับความต้องการ สิ่งสำคัญที่ผู้บริหารแบรนด์ต้องเข้าใจ คือ ความเกี่ยวข้อง (Brand Relevance) หมายถึง การที่ลูกค้าต้องมองเห็นความเกี่ยวข้องของสินค้า นั้นกับตัวของลูกค้าเอง นอกเหนือจากประโยชน์ที่จะได้รับจากสินค้าหรือบริการ นั้น ดังนั้น แบรนด์จะต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ความ เกี่ยวข้องนี้ขึ้นอยู่กับความรู้และความเข้าใจของผู้ประกอบการว่า ใครคือกลุ่มลูกค้า เป้าหมายที่แท้จริง ลูกค้าต้องการอะไรจากสินค้าหรือบริการนั้น และผู้ผลิตต้องหา ทางที่จะตอบสนองความต้องการนั้น แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จต้องทำให้ผู้ซื้อ มีความรู้สึกที่ดีและรับทราบถึงคุณค่าของแบรนด์ที่มอบให้ ตัวอย่างเช่นร้านกาแฟ Starbucks ที่มีนโยบายเป็น “The third place” สำหรับลูกค้า รองเท้ากีฬา Nike ที่ทำ ผู้ใส่รู้สึกถึงความสำเร็จในการเล่นกีฬา แชมพู Dove ที่ช่วยบำรุงหนังศีรษะ รถ Volvo ที่ให้ความปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร ฯลฯ ผู้เขียนเคยถามลูกศิษย์รายหนึ่งที่ซื้อปากกา แบรนด์หนึ่งเป็นประจำว่าทำไมถึงเจาะจงซื้อแต่แบรนด์นั้นแม้ว่าจะมีราคาแพงกว่า แบรนด์อื่น ๆ คำตอบที่ได้รับคือ เพราะปากกาแบรนด์นั้นมียางลบในตัวและเขา เป็นคนที่เขียนหนังสือผิดบ่อยทำให้ชื่นชอบปากกาแบรนด์ (รอตติ้ง) เป็นพิเศษ นี่ คือ Brand relevance ปากการอตติ้งมีความเกี่ยวข้องกับลูกค้าอย่างชัดเจนและ สามารถแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ การที่แบรนด์สามารถตอบสนองและส่งมอบคุณค่าที่ เกี่ยวข้องกับความต้องการจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสำเร็จของการวาง ตำแหน่งแบรนด์ในใจลูกค้า

  • S.T.P : Segmentation, Targeting และ Positioning 
  • คำถามที่สำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินงานด้านการตลาดของธุรกิจ ก็คือการ ค้นหาว่ากลุ่มลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคือใคร ต้องการอะไร จะตอบสนองความต้องการ ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้นได้อย่างไร อะไรคือหลักเกณฑ์ที่ควรใช้ในการพิจารณา คัดเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และจะทำอย่างไรให้ลูกค้ากลุ่มนั้นสามารถรับรู้จุดขาย ที่แตกต่างของผลิตภัณฑ์หรือบริการ เพื่อที่บริษัทจะได้วางแผนการตลาดและสื่อสาร คุณค่าหลักของแบรนด์ (Brand Core value) ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้นได้อย่างมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล คำถามทั้งหมดนี้ต้องการข้อมูลถูกต้องและเชื่อถือได้ เพื่อช่วยให้การวางตำแหน่งแบรนด์ประสบผลสำเร็จ
  •             1.1 S. Segmentation
  • ในการหาคำตอบดังกล่าว เรื่องของการแบ่งตลาดออกเป็นส่วน ๆ (Segmentation) และหลักเกณฑ์ในการแบ่งส่วนตลาด (Segmentation criteria) จะมีประโยชน์อย่าง ยิ่งในการค้นหาว่ากลุ่มลูกค้าในตลาดเป็นอย่างไร เพราะเมื่อทำการแบ่งส่วนตลาดโดย ใช้หลักเกณฑ์ที่เหมาะสมมาช่วยในการแบ่งแล้ว สิ่งที่ได้รับ คือ ข้อมูลของลูกค้า (Customer profile) ที่จะช่วยทำให้ได้คำตอบเบื้องต้นที่สำคัญยิ่งทางการตลาดสามประการ นั่นคือ
  • ภาพประกอบที่ 3 ตัวอย่างการให้ข้อมูลกับตัวอย่างกลุ่มเป้าหมายในรูปแบบ Personas 
  • (ภาพประกอบโดย The Design Thinking Playbook,2563)
  • ภาพประกอบที่ 4 รูปแบบผังการทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย 
  • (ภาพประกอบโดย อาจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ)
  • ลูกค้าคือใคร (Who are your customers?)
  • ลูกค้าอยู่ที่ไหน (Where are your customers?)
  • ลูกค้าเป็นอย่างไร (What about your customers?)
  • หมายถึง การแบ่งส่วนตลาดหรือการจัดลูกค้าออกเป็นกลุ่ม ๆ การวางตำแหน่ง แบรนด์จะเชื่อมโยงกับการแบ่งส่วนตลาด และการคัดเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Targeting) ดังที่เรียกว่า S – T – P ซึ่งก็คือ Segmenttion – Targeting – Positioning จากแนวคิดที่ว่าถ้าไม่มีการจัดจำแนกตลาดใหญ่ (Mass market) ออกเป็นตลาดย่อย ที่เป็นกลุ่ม ๆ หรือที่เรียกว่า Segment แล้ว จะเป็นการยากมากที่ผู้บริหารจะกำหนด กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing mix strategy) ได้อย่างเหมาะสมและมี ประสิทธิภาพ เพราะคนในตลาดใหญ่จะมีอำนาจซื้อ ความต้องการ ความชอบ หรือ แรงจูงใจในการซื้อสินค้าบริการที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะเป็นการยากที่ตอบสนอง ความต้องการของคนในตลาดใหญ่ได้ทั้งหมด ดังนั้น จึงเป็นความจำเป็นที่ผู้บริหาร ต้องตอบคำถามเบื้องต้นให้ได้เสียก่อนว่า “ลูกค้าเป้าหมายที่แท้จริงคือใคร”
  • กลยุทธ์การแบ่งตลาดออกเป็นส่วน ๆ หรือการทำ Segmentation ได้เกิดขึ้นมา นานหลายปีแล้ว โดยมีการใช้หลักเกณฑ์ต่างๆ กันในบางแบ่งกลุ่ม (Segmentation (1) criteria) เกณฑ์ที่ได้รับความนิยมมาช้านานจนถึงปัจจุบันได้แก่เกณฑ์ข้อมูลประชากร (Demographic data) ได้แก่การแบ่งกลุ่มโดยใช้ เพศ อายุ อาชีพ รายได้ การศึกษา สถานภาพสมรสม จำนวนในครอบครัว จำนวนบุตร เชื้อชาติ สัญชาติ และการนับถือ ศาสนา เป็นต้น เกณฑ์ข้อมูลประชากรเป็นเกณฑ์ที่ง่ายในการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม การใช้เกณฑ์ประชากรจะไม่สามารถตอบคำถามเรื่องพฤติกรรม แรงจูงใจของผู้บริโภค ตลอดจน Insights ของผู้บริโภคได้จึงเป็นจุดอ่อนของการใช้เกณฑ์ประชากรแต่เพียง อย่างเดียวในการแบ่งกลุ่มตลาด
  • ภาพประกอบที่ 5 ตัวอย่างการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย 
  • (ภาพประกอบโดย The Design Thinking Playbook,2563)
  • นอกจากเกณฑ์ประชากรที่ใช้ในการแบ่งลูกค้าแล้ว เกณฑ์ด้านภูมิศาสตร์ ( Geographic criteria) ก็มักถูกใช้ในการแบ่งผู้บริโภคออกไปตามเขตที่อยู่อาศัย เช่น ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน เป็นต้น การใช้เกณฑ์ภูมิศาสตร์มีประโยชน์ ในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดเพราะไม่ใช่เพียงแต่พื้นที่อยู่อาศัยของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังทำให้ทราบถึงวัฒนธรรมในท้องถิ่นที่ผู้บริโภคอยู่อาศัย (Culture and subculture) ทำให้ทราบถึงแหล่งทำมาหากิน ลักษณะการดำรงชีวิต (Live styles) ศาสนาที่นับถือ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ ดังนั้น ความรู้ด้านสถานที่ทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมในท้องถิ่นที่ผู้คนอยู่อาศัยจะช่วยให้ ผู้บริหารการตลาดสามารถกำหนดเทคนิคการขาย หรือกลยุทธ์การส่งเสริมการขาย ภาษาที่ใช้ในการโฆษณา วิธีการประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ได้อย่างเหมาะสม สอดคล้อง กับการดำรงชีวิตและวัฒนธรรมในท้องถิ่นของผู้บริโภคที่อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ
  • นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง อย่างรวดเร็วในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา เกณฑ์ที่ใช้แบ่งส่วนตลาดก็เริ่มเปลี่ยนไปให้ ความสำคัญกับบุคลิกภาพและชีวิตความเป็นอยู่ (Personality and life styles) ของผู้ บริโภคมากขึ้น ศัพท์ภาษอังกฤษเรียกเกณฑ์นี้ว่า Psychographic ซึ่งหมายถึง เกณฑ์ ด้านบุคลิกภาพและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้อื่น เช่น คนที่ชอบท่องเที่ยว คนที่ชอบ ดูหนังฟังเพลง คนที่ชอบค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต คนที่ชอบออกไปรับประทาน อาหารนอกบ้านในวันหยุด คนชอบดูของเก่า คนที่ชอบดูการแข่งขันกีฬา คนที่เข้า วัดปฏิบัติธรรม คนที่ใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพ ฯลฯ เป็นต้นประโยชน์ของการมีข้อมูล ด้านบุคลิกภาพหรือวิถีชีวิตของกลุ่มลูกค้าเหล่านี้จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถวางแผน กลยุทธ์การตลาดและออกแบบสินค้าหรือบริการได้ตรงกับบุคลิกภาพของกลุ่มเป้า หมายมากขึ้นเพราะมีข้อมูลที่ลึกซึ้งขึ้น ไม่ใช่แค่ข้อมูลว่ากลุ่มลูกค้าเป็นคนอายุเท่าไร มีอาชีพอะไร มีการศึกษาระดับใด ในปัจจุบันจะเห็นธุรกิจต่าง ๆ มีการแบ่งกลุ่มผู้ บริโภคโดยใช้เกณฑ์ Psychographic มากขึ้น เช่นร้านกาแฟ เครือข่ายมือถือ สถาน ที่ท่องเที่ยว บริการเคเบิลทีวี สปาและรีสอร์ต ฯลฯ เพราะผู้บริหารการตลาดจะได้ ออกแบบสินค้า รูปแบบการให้บริการ และการส่งเสริมทางการตลาดแบบต่าง ๆ ได้ ตลาดและทำแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ภาพประกอบที่ 6 ตัวอย่างการแบ่งกลุ่มเป้าหมายด้วย Psychographic
  • (ภาพประกอบโดย https://blog.hubspot.com/insiders/marketing-psychographics)
  • อีกเกณฑ์หนึ่งที่นิยมใช้ในการแบ่งการตลาดออกเป็นกลุ่ม ๆ ก็คือ พฤติกรรม แรงจูงใจ และทัศนคติของผู้บริโภค (Behavior, motivation and attitudes) เช่น พฤติกรรมคนที่ชอบเข้าร้านหนังสือ พฤติกรรมการรับประทานอาหารนอกบ้านกับ ครอบครัวในวันหยุด แรงจูงใจในการไปพักผ่อนที่รีสอร์ตนอกเมือง ฯลฯ ถ้าจะใช้เกณฑ์ นี้ในการแบ่งกลุ่มตลาด ผู้บริหารจำเป็นต้องทำวิจัยผู้บริโภคเพื่อเจาะลึกถึงพฤติกรรม แรงจูงใจ และทัศนคติ ถ้าผู้บริหารการตลาดสามารถทราบแรงจูงใจพฤติกรรมและ ทัศนคติของกลุ่มลูกค้าก็จะสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ในการวางแผน การตลาดและกำหนดตำแหน่งแบรนด์สินค้า/บริการของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไป ในปัจจุบันจะเห็นการใช้เกณฑ์นี้มากขึ้น เช่น ธุรกิจหนังสือแมกกาซีน จะเห็น ว่ามีแมกกาซีนมากมายหลากหลายประเภทในร้านขายหนังสือที่เจาะจงเข้าถึงกลุ่มที่ มีความสนใจแตกต่างกัน เช่น แมกกาซีนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาหารการกิน เสื้อผ้าเครื่องประดับ กีฬาประเภทต่าง ๆ คนรักรถ ฯลฯ ที่น่าสังเกต ก็คือ การแบ่งกลุ่ม ย่อย ๆ ที่เรียกว่า Subsegment ของกลุ่มใหญ่ เช่น หนังสือประเภทกีฬาก็จะแบ่งย่อย ลงไปอีกอย่างชัดเจนว่าเป็นกีฬาประเภทฟุตบอล รถแข่ง เทนนิส กอล์ฟ ฯลฯ เป็นต้น
  • การใช้เกณฑ์ทั้ง 4 ประการในการแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่ม ๆ นี้ จะทำให้การ ทำวิจัยผู้บริโภค (Customer research) เข้ามามีบทบาทในการจัดการด้านการตลาด มากกว่าที่เคยมีในอดีต เนื่องจากการตลาดยุคใหม่จะมีสิ่งแวดล้อมภายนอกของ ธุรกิจที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เหล่านี้ จะส่ง ผลต่อการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจไม่มากก็น้อย การทำการตลาดจะมีความเสี่ยง เพิ่มขึ้น ดังนั้น การทำวิจัยการตลาด (Marketing research) หรือการทำวิจัยผู้บริโภค (Cutomer research) จะช่วยให้ได้ข้อมูลบางประการที่จะช่วยตอบคำถามที่สงสัยไม่ แน่ใจเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการตัดสินใจของผู้บริหารลง
  • ภาพประกอบที่ 7 ตัวอย่างการแบ่งกลุ่มเป้าหมายด้วย Behavior, motivation and attitudes
  • (ภาพประกอบโดย https://www.yieldify.com/blog/behavioral-segmentation-definition-examples/)
  • T. Targeting กลุ่มเป้าหมาย
  • เมื่อผู้บริหารทราบว่าผู้บริโภคในตลาดสามารถแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ได้กี่กลุ่ม และ แต่ละกลุ่มมีข้อมูลลูกค้า (Customer profile) เป็นอย่างไรแล้ว จากนั้นก็จะสามารถ ตัดสินใจหรือเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ (Targeted customer) ว่าควรจะเป็นกลุ่ม ใด ดังนั้น Targeting จึงหมายถึงการคัดเลือกกลุ่มตามเป้าหมาย (Market selection) นั่นเอง
  • ในการคัดเลือกตลาดเป้าหมายที่เหมาะสมกับการทำธุรกิจของบริษัทคำถาม คือ จะใช้หลักเกณฑ์ใดในการพิจารณาคัดเลือกเป้าหมาย เพราะการคัดเลือกเป้า หมายที่ถูกต้อง (The right target) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการกำหนดตำแหน่งของแบรนด์เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่ได้คัดเลือกมา โดยหลักการแล้ว การพิจารณาคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม ควรพิจารณาหลัก เกณฑ์อย่างน้อย 6 หลักเกณฑ์ ดังนี้
  • (1) ตลาดต้องมีขนาดใหญ่พอสมควร (Sufficient market size) ตลาด ที่ผู้บริหารควรพิจารณาคัดเลือกต้องมีจำนวนลูกค้าในตลาดใหญ่พอที่จะนำแบรนด์ สินค้า/บริการเข้าสู่ตลาดนั้น เพราะถ้าขนาดตลาดเล็กเกินไปอาจจะไม่คุ้มค่ากับการ ทำธุรกิจดังนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องมีข้อมูลขนาดตลาดของกลุ่มต่าง ๆ เพื่อช่วยในการ ตัดสินใจ
  • (2) ตลาดต้องมีอุปสงค์สม่ำเสมอ (Stable demand) ผู้บริหารต้องมีการ สำรวจตลาด (Market survey) เสียก่อนเพื่อจะได้ทราบว่าผู้บริโภคในตลาดนั้นมีอุปสงค์ อย่างไรในสินค้าหรือบริการนั้น กลุ่มบริโภคที่มีความต้องการในสินค้าหรือบริการนั้น อย่างสม่ำเสมอและมีอำนาจซื้อ (Purchasing power) จะเป็นตลาดที่น่าสนใจมากกว่า ตลาดที่มีอุปสงค์ไม่คงที่เปลี่ยนแปลงง่ายขึ้น ๆ ลง ๆ และอาจมีความเสี่ยงสูง ดังนั้น ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องมีข้อมูลอุปสงค์และข้อมูลของผู้บริโภคในตลาดนั้น ๆ ก่อนที่ จะตัดสินใจต้องวิเคราะห์สถานการณ์สภาพแวดล้อมทางการตลาด มีข้อมูลของคู่ แข่งที่ขายสินค้าประเภทเดียวกัน มีการพูดคุยซักถามลูกค้าหรือสำรวจตลาดจริงเพื่อ ที่จะได้ทราบข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจคัดเลือกตลาดเป้าหมายต่อไป
  • (3) ตลาดควรมีศักยภาพที่จะเจริญเติบโตต่อไปในอนาคต (Potential growth) ตลาดที่เหมาะสมจะเป็นตลาดเป้าหมายนั้นควรมี ศักยภาพที่จะเติบโตได้ในอนาคต ศักยภาพสามารถพิจารณาได้จากหลายปัจจัย เช่น อุปสงค์ของผู้บริโภคที่มีความชัดเจน เทคโนโลยีที่ใช้ในปัจจุบันสามารถ รองรับการขยายตัวของตลาดได้พื้นที่หรือสถานที่นั้นอยู่ในแผนการพัฒนาของ รัฐบาล ฯลฯ ผู้บริหารจำเป็นต้องมีข้อมูลและต้องเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างกลุ่ม ตลาดต่าง ๆ เพื่อที่จะได้ตัดสินใจเลือกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
  • (4). ต้องสื่อสารกับผู้บริโภคตลาดนั้นได้ (Communicability) เนื่องจากการ วางตำแหน่งแบรนด์มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสื่อสารทางการตลาด (Marketing Communication) ดังนั้น ความสามารถที่จะสื่อสารทางการตลาดกับกลุ่มลูกค้าเป้า หมายให้มีความเข้าใจและรับรู้ในคุณค่าของแบรนด์นั้นจะเป็นกุญแจสำเร็จในการ วางตำแหน่ง บริษัทต้องหาวิธีที่จะเข้าถึงลูกค้าและสื่อสารกับลูกค้าไม่ว่าจะเป็นการ สื่อสารทางการพูด การเขียน การใช้รูปภาพหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ จึงต้องมีความเข้าใจ
  • ในทัศนคติ ทราบถึงแรงจูงใจ และพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าในตลาดนั้นเพื่อจะ ได้สื่อสารเรื่องราวของสินค้ากับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความเข้าใจที่ ตรงกัน หลักการของการสื่อสาร คือ ต้องมีเป้าหมายให้ชัดเจนเสียก่อนว่าจะ สื่อสารกับใคร เพื่อวัตถุประสงค์อะไร และจะพูดกับใคร พูดหรือเขียนอย่างไร เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันทั้งผู้ส่งและผู้รับ ต้องระลึกเสมอว่าการสื่อสารที่ มีประสิทธิภาพมากที่สุดนั้นต้องพยายามพูดหรือเขียนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายที่สุด เพื่อที่จะทำให้ลูกค้าเข้าใจและรับรู้เนื้อหาที่ต้องการสื่อสารได้เร็วที่สุด
  • (5). การคมนาคมไม่ลำบากเกินไปหรือไม่มีต้นทุนสูงเกินไป (Not too high cost transportation) ในทางกายภาพ ระยะทางระหว่างสถานที่ตั้งของ ตลาดเป้าหมายกับบริษัทมีความสำคัญมาก เพราะยิ่งตลาดอยู่ไกลมากก็ยิ่งจะมีค่า ใช้จ่ายมากขึ้น ดังนั้น ระยะทางใกล้ไกลจึงเป็นเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่ายทางการตลาด ผู้บริหารจำเป็นต้องมีข้อมูลในเรื่องนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจ ในบางกรณีตลาด ที่กำลังพิจารณาอาจจะดูน่าสนใจเพราะมีขนาดใหญ่และผู้บริโภคก็มีความต้องการ และอำนาจซื้อ เช่น ผลไม้ไทยที่เป็นที่ต้องการในประเทศแถบตะวันออกกลาง แต่ เนื่องจากมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปในคมนาคมขนส่ง ระบบสาธารณูปโภคยังไม่ สะดวก ยังไม่มีความปลอดภัยเท่าที่ควร ฯลฯ ผู้บริหารจึงต้องพิจารณารายละเอียด ทุกอย่างด้วยความรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจเลือกตลาดที่เหมาะสมที่สุด ในหลาย กรณีที่การคมนาคมไม่ใช่อุปสรรคเพราะไม่ได้อยู่ห่างไกลกันเกินไป แต่อุปสรรคอาจ จะเกิดจากสภาพการณ์หรือสิ่งแวดล้อมของตลาดในประเทศนั้น ๆ ที่ยังไม่เอื้ออำนวย ต่อการเข้าไปในตลาดนั้น
  • (6). ศักยภาพของบริษัท (Company’s potential) เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ ต่าง ๆ ทั้ง 5 ข้อในข้างต้น อาจจะยังไม่สามารถสรุปได้ว่าตลาดกลุ่มใดเป็นตลาดที่ควร ได้รับการคัดเลือกจนกว่าบริษัทจะทำการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง สถานะทางการ เงิน เทคโนโลยี กำลังคน กำลังการผลิต ศักยภาพในการพัฒนาตลาด วัตถุประสงค์ ในการทำธุรกิจ ซึ่งการวิเคราะห์ศักยภาพโดยรวมของบริษัทจะช่วยให้บริษัทเองทราบ ว่ามีความพร้อมในระดับใดที่จะเข้าไปทำธุรกิจในตลาดกลุ่มเป้าหมายนั้นในอนาคต
  • หลักเกณฑ์ 6 ประการนี้เป็นหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการคัดเลือกตลาดเป้าหมาย นอกเหนือจากหลักเกณฑ์เหล่านี้ผู้บริหารอาจจะพิจารณาใช้เกณฑ์อื่น ๆ ที่เหมาะสม เช่น ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารว่าต้องใช้ภาษาใดหรือจะพูดอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด ความแตกต่างของวัฒนธรรมท้องถิ่นที่บริษัทอาจต้องปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับการดำเนิน ชีวิตของผู้คนในพื้นที่นั้น ฯลฯ ในการพิจารณาคัดเลือกตลาดเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้บริหารอาจใช้วิธีให้คะแนนหลักเกณฑ์ของแต่ละเกณฑ์ โดยการพิจารณาจาก ข้อมูลที่ค้นคว้าหามาได้ ซึ่งจะทำให้การคัดเลือกตลาดกลุ่มเป้าหมายมีความชัดเจน มากขึ้นเพราะมีการประเมินเป็นตัวเลข ในกรณีที่มีผู้ประเมินหลายคนอาจคิดค่าเฉลี่ย ตาราง 3.1 แสดงถึงการพิจารณาตลาด 3 ตลาดคือ A B และ C โดยที่มีคะแนนเต็ม ของเกณฑ์ข้อละ 10 คะแนน คะแนนรวมทั้งหมดคือ 60 คะแนน ตลาดที่ได้คะแนน รวมสูงสุดคือ B ได้ 43 คะแนนหรือ 71.66 % ผู้บริหารจึงควรตัดสินใจเลือก B เป็น ตลาดกลุ่มเป้าหมาย
  • P.-Positioning
  • เมื่อผู้ประกอบการได้คัดเลือกตลาดเป้าหมาย (targeting หรือ Market Selection) โดยใช้หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามที่ได้อธิบายข้างต้นเรียบร้อยแล้ว ผู้บริหารก็ จะสามารถวางตำแหน่งของแบรนด์สินค้าหรือบริการที่จะขายในตลาดเป้าหมายนั้น ซึ่งในการวางตำแหน่งแบรนด์ (Brand positioning) ผู้บริหารต้องระบุคุณค่าที่เป็น แก่นแท้ของแบรนด์ (Core brand value) ที่ต้องการนำเสนอให้ลูกค้าในตลาดนั้นได้ ทราบว่าอะไรคือคุณค่าของแบรนด์นั้น ตำแหน่งที่จะนำเสนอต้องตรงกับความต้องการ ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายการวางตำแหน่งจึงจะได้ผล ยิ่งผู้บริหารมีความรู้เกี่ยวกับผู้ บริโภคในตลาดกลุ่มเป้าหมายมากเท่าใดก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะทำให้การวางตำแหน่ง แบรนด์ให้ประสบความสำเร็จมากเท่านั้น ตัวอย่างเช่นการวางตำแหน่งของแบรนด์ ระดับโลกอย่าง Apple ที่มีการสื่อสารตำแหน่งของแบรนด์อย่างชัดเจนเรื่อง “Think different” ลูกค้าไม่ได้มองว่า Apple เป็นสินค้าประเภทมือถือหรือสินค้าในกลุ่มไอที แต่กลับมองว่า Apple เป็นสินค้านวัตกรรมที่มีการออกแบบที่ทันสมัยสอดคล้องกับ วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ เป็นที่ยอมรับในสังคม ใช้ง่ายและมีฟังก์ชั่นการทำงานที่ตอบ สนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดีในโลกยุคดิจิตัล

ใช้ AI. ช่วยออกแบบ Graphic Design ได้อย่างไร

ออกแบบกราฟิก

วิธีนำปัญญาประดิษฐ์ไปใช้ในกระบวนการสั่งงานสำหรับการออกแบบกราฟิก Graphic Design
การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกระบวนการสั่งงานสำหรับการออกแบบกราฟิกสามารถเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพ และคุณภาพการออกแบบโดยรวมได้อย่างมาก

ทำความเข้าใจการประยุกต์ใช้ AI ในการออกแบบกราฟิก
AI นำเสนอแอพพลิเคชั่นมากมายในการออกแบบกราฟิก ช่วยให้นักออกแบบสามารถปรับปรุงกระบวนการและบรรลุผลลัพธ์ที่สร้างสรรค์ได้ดีขึ้น การสำรวจวิธีต่างๆ ที่จะสามารถนำ AI ไปใช้เป็นสิ่งสำคัญ เช่น กระบวนการทำซ้ำอย่างรวดเร็ว การสำรวจความคิดสร้างสรรค์ และการปรับแต่งทิศทางการออกแบบ

การใช้ประโยชน์จากระบบผู้ช่วยการออกแบบ
พิจารณาการนำระบบผู้ช่วยออกแบบมาใช้โดยอาศัย AI ระบบเหล่านี้ซึ่งมีรากฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้เชิงลึก สามารถมีส่วนช่วยอย่างมากในการปรับปรุงขั้นตอนการออกแบบ พวกเขาให้ข้อมูลเชิงลึกว่า AI สามารถช่วยนักออกแบบในกระบวนการตัดสินใจและเพิ่มความคิดสร้างสรรค์โดยรวมได้อย่างไร

การสำรวจผลกระทบของ AI ที่มีต่อการออกแบบกราฟิก
ตระหนักถึงผลกระทบของ AI ต่อกระบวนการออกแบบกราฟิก แม้ว่านักออกแบบแต่ละคนจะมีแนวทางเฉพาะตัว แต่แอปพลิเคชัน AI ที่ออกแบบด้วยอัลกอริธึมที่คำนวณไว้ล่วงหน้าสามารถมีอิทธิพลและเพิ่มพูนกระบวนการสร้างสรรค์ของผู้ใช้ได้ การทำความเข้าใจพลวัตเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการบูรณาการที่ประสบความสำเร็จ

การนำทางเครื่องมือออกแบบ AI
เครื่องมือออกแบบ AI มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของนักออกแบบกราฟิก พวกเขาแนะนำเทคนิคและแนวทางใหม่ ๆ โดยกำหนดให้นักออกแบบต้องปรับตัวและปรับปรุงกระบวนการของตนอย่างต่อเนื่อง การสำรวจเครื่องมือเหล่านี้และความเกี่ยวข้องมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการบูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการสั่งงาน

การประเมินข้อดีข้อเสีย
การทำความเข้าใจข้อดีข้อเสียของการใช้เครื่องมือ AI ในการออกแบบกราฟิกถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแนวทางที่สมดุล แม้ว่า AI จะนำมาซึ่งประสิทธิภาพและนวัตกรรม แต่ก็อาจก่อให้เกิดความท้าทาย เช่น เส้นโค้งการเรียนรู้เบื้องต้น การประเมินปัจจัยเหล่านี้ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีการนำ AI มาใช้ในกระบวนการสั่งงานอย่างรอบคอบและมีข้อมูลครบถ้วน

Byline : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

แนวคิด ทฤษฎีทางศิลปวิจารณ์ Art Criticism

ศิลปวิจารณ์ พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

การทำความเข้าใจความซับซ้อนของศิลปะ : หลักการ ทฤษฎี การวิจารณ์ สุนทรียศาสตร์ และการวิเคราะห์
ศิลปะที่แทบไร้ขีดจำกัดของความคิดที่สร้างสรรค์มาบรรจบกับการแสดงออก ประกอบด้วยหลักการ ทฤษฎี การวิจารณ์ สุนทรียศาสตร์ และการวิเคราะห์ ซึ่งกำหนดรูปแบบการรับรู้และการโต้ตอบกับทัศนศิลป์ ในการสำรวจที่ครอบคลุมนี้ เราได้เจาะลึกองค์ประกอบแต่ละอย่างและระบุหลักการของการวิจารณ์ทัศนศิลป์

หลักการวิจารณ์ทัศนศิลป์ :

สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบคุณสมบัติทางกายภาพของงานศิลปะอย่างเป็นกลาง รวมถึงรายละเอียดต่างๆ เช่น ขนาด สี พื้นผิว และองค์ประกอบ คำอธิบายอย่างละเอียดเป็นรากฐานสำหรับการวิเคราะห์เชิงลึก

การวิเคราะห์ : การวิเคราะห์งานศิลปะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรื้อถอนองค์ประกอบต่างๆ และทำความเข้าใจว่าศิลปะทำงานร่วมกันอย่างไร ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาหลักการออกแบบ เช่น ความสมดุล คอนทราสต์ และจังหวะ เพื่อให้เข้าใจถึงความตั้งใจของศิลปิน

การตีความ : ในที่นี้ ผู้ชมนำเสนอการตีความความหมายของงานศิลปะด้วยตนเอง การตีความอาจแตกต่างกันอย่างมาก และได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ส่วนตัว อารมณ์ และภูมิหลังทางวัฒนธรรมของแต่ละบุคคล

การตัดสินคุณค่า : การวิจารณ์ศิลปะไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยคำตัดสิน แต่มักจะรวมถึงการตัดสินหรือการประเมินผลงานศิลปะด้วย นักวิจารณ์อาจประเมินคุณค่าทางศิลปะและสุนทรียศาสตร์ของผลงาน ผลกระทบ และความเกี่ยวข้องของผลงานในโลกศิลปะ

ทฤษฎีศิลปะ :

ทฤษฎีศิลปะเป็นกรอบในการทำความเข้าใจและตีความศิลปะ ทฤษฎีที่โดดเด่นบางประการ ได้แก่ :

  1. รูปแบบนิยม : ทฤษฎีนี้มุ่งเน้นไปที่คุณสมบัติที่เป็นทางการของศิลปะ เช่น รูปร่าง สี และองค์ประกอบ เน้นย้ำถึงลักษณะเฉพาะของงานศิลปะ

2. ลัทธิหลังสมัยใหม่ : ลัทธิหลังสมัยใหม่ท้าทายแนวคิดดั้งเดิมของศิลปะ และยอมรับความหลากหลาย การไม่แบ่งแยก และการตีความที่หลากหลาย

วิจารณ์ศิลปะ :

การวิจารณ์ศิลปะเป็นการฝึกอภิปรายและประเมินทัศนศิลป์ สามารถเข้าถึงได้จากมุมมองที่แตกต่างกัน ได้แก่ :

การวิจารณ์ด้านสุนทรียภาพ: วิธีการนี้จะประเมินความงามและผลกระทบทางอารมณ์ของงานศิลปะ

การวิจารณ์ตามบริบท: การวิจารณ์ตามบริบทพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมของงานศิลปะเพื่อตีความความหมาย

สุนทรียศาสตร์ :

สุนทรียศาสตร์สำรวจปรัชญาของศิลปะและความงาม โดยจะสำรวจคำถามต่างๆ เช่น อะไรทำให้เกิดสิ่งที่สวยงาม บทบาทของศิลปะในชีวิตของเรา และธรรมชาติของประสบการณ์ทางศิลปะ ทฤษฎีสุนทรียศาสตร์มีส่วนช่วยให้เราเข้าใจถึงผลกระทบของศิลปะที่มีต่อประสาทสัมผัสและสติปัญญาของเรา

การวิเคราะห์งานศิลปะ :

การวิเคราะห์ทางศิลปะเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบงานศิลปะอย่างละเอียด ครอบคลุมการประเมินองค์ประกอบและหลักการของศิลปะ การเปิดเผยสัญลักษณ์ และการทำความเข้าใจความตั้งใจของศิลปิน การวิเคราะห์ช่วยให้ผู้ชมชื่นชมความแตกต่างและความซับซ้อนภายในงานศิลปะ

โดยสรุป โลกแห่งศิลปะเป็นขอบเขตที่หลากหลาย ซึ่งหลักการ ทฤษฎี การวิจารณ์ สุนทรียศาสตร์ และการวิเคราะห์มาบรรจบกันเพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับทัศนศิลป์ แต่ละองค์ประกอบเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในความสามารถของเราในการชื่นชม ตีความ และประเมินงานศิลปะ ไม่ว่าคุณจะเป็นศิลปิน นักวิจารณ์ หรือผู้ชื่นชอบงานศิลปะ องค์ประกอบเหล่านี้เป็นรากฐานของการมีส่วนร่วมกับโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์อันน่าหลงใหล

Byline : ผศ.ดร.พิสิฐ ตั้งพรรปะเสริฐ

สูตรการออกแบบ Brand ด้วย My StoryBrand SB7

รับออกแบบ Branding

Review หนังสือ My Story Brand โดย ผู้ช่วยศาสตร์จารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

ความสำคัญ
ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน กลยุทธ์การสร้างแบรนด์และการตลาดที่มีประสิทธิภาพมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดึงดูดความสนใจและความภักดีของลูกค้า Donald Miller ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ที่มีชื่อเสียงได้พัฒนากรอบการทำงานอันทรงพลังที่เรียกว่า StoryBrand SB7 ซึ่งมีกระบวนการทีละขั้นตอนในการสร้างเรื่องเล่าของแบรนด์ที่น่าสนใจ บทความนี้จะสำรวจองค์ประกอบหลักของเฟรมเวิร์ก StoryBrand SB7 และวิธีที่องค์ประกอบเหล่านั้นนำไปสู่การเล่าเรื่องของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ

1.ตัวละคร A Character :
หัวใจสำคัญของกรอบ StoryBrand SB7 คือการรับรู้ว่าลูกค้าคือฮีโร่ของเรื่องราวของแบรนด์ แทนที่จะเน้นที่คุณสมบัติและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์หรือบริการเพียงอย่างเดียว มิลเลอร์เน้นที่การเริ่มต้นจากมุมมองของลูกค้า องค์ประกอบแรกของเฟรมเวิร์กเกี่ยวข้องกับการสร้างตัวละคร—ลูกค้า—ที่ต้องการบางอย่าง ด้วยการทำความเข้าใจความต้องการและแรงบันดาลใจของลูกค้า ธุรกิจต่างๆ สามารถปรับแต่งข้อความของตนให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ปัญหา : With a Problem
ฮีโร่ทุกคนพบกับอุปสรรคและความท้าทายตลอดการเดินทางของพวกเขา และเช่นเดียวกันกับลูกค้า องค์ประกอบที่สองของกรอบงาน SB7 เกี่ยวข้องกับการระบุปัญหาหรือจุดบอดที่ลูกค้าเผชิญ การยอมรับความท้าทายเหล่านี้ทำให้ธุรกิจสามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจและแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าพวกเขาเข้าใจความยากลำบากของพวกเขา ขั้นตอนนี้ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับผู้ชมเป้าหมายได้ลึกขึ้น เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าข้อกังวลของพวกเขาได้รับการตอบรับและแก้ไขแล้ว

3. พบกับคนช่วยเหลือ : Meet a guide who Understand their fear
ฮีโร่มักจะขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาหรือไกด์ที่ชาญฉลาดเพื่อผ่านความท้าทายของพวกเขา ในกรอบ StoryBrand SB7 องค์ประกอบที่สามมุ่งเน้นไปที่การแนะนำแบรนด์ให้เป็นแนวทางที่เข้าใจความกลัวและความกังวลของลูกค้า ด้วยการวางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็นแนวทางที่เอาใจใส่และมีความรู้ ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าของตนได้ ขั้นตอนนี้มีความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกลุ่มเป้าหมายและวางตำแหน่งแบรนด์ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชัน

4. ถึงเวลาวางแผน : WHO GIVES  THEM A PLAN
เมื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไกด์กับลูกค้าแล้ว องค์ประกอบที่สี่ของกรอบ SB7 จะเกี่ยวข้องกับการนำเสนอแผนที่ชัดเจนเพื่อช่วยให้ลูกค้าเอาชนะความท้าทายของตนได้ แผนนี้ควรระบุขั้นตอนและการดำเนินการที่จำเป็นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ด้วยการจัดเตรียมแผนงานสู่ความสำเร็จ ธุรกิจต่างๆ สามารถเพิ่มศักยภาพให้กับลูกค้าและบรรเทาความวิตกกังวลของพวกเขาได้ แผนการที่ชัดเจนช่วยให้ลูกค้ามั่นใจในความสามารถของแบรนด์ในการให้ผลลัพธ์และกระตุ้นให้พวกเขาดำเนินการ

5. ตัวเร่งให้ดำเนินการ : AND CALLS THEM TO ACTION
ในการเดินทางที่กล้าหาญใด ๆ ฮีโร่จะถูกเรียกให้ดำเนินการ เช่นเดียวกัน ในกรอบ StoryBrand SB7 องค์ประกอบที่ห้าเกี่ยวข้องกับการจูงใจลูกค้าให้ดำเนินการตามแผนที่นำเสนอ การสร้างคำกระตุ้นการตัดสินใจที่ดึงดูดใจ ธุรกิจต่างๆ สามารถกระตุ้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ของตน ซื้อสินค้า หรือทำตามขั้นตอนต่อไปที่ต้องการ คำกระตุ้นการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพควรชัดเจน โน้มน้าวใจ และสอดคล้องกับแรงบันดาลใจของลูกค้า

6. เดิมพัน: หลีกเลี่ยงความล้มเหลว : THAT HELPS THEM  AVOID FAILURE

การเดินทางของฮีโร่ทุกคนมาพร้อมกับความเสี่ยงและความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น องค์ประกอบที่หกของกรอบงาน SB7 มุ่งเน้นไปที่การเน้นส่วนเดิมพันที่เกี่ยวข้อง หากลูกค้าไม่สามารถดำเนินการหรือจัดการกับความท้าทายของตนได้ การแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงผลเสียของการอยู่เฉย ธุรกิจสามารถสร้างความรู้สึกเร่งด่วนและกระตุ้นให้ลูกค้าเอาชนะความกลัวได้ การเน้นย้ำถึงการสูญเสียหรือพลาดโอกาสที่อาจเกิดขึ้นช่วยให้ลูกค้าเข้าใจถึงความสำคัญของการดำเนินการ

7. พบกับความสำเร็จ :

Download Template StoryBrand