BANGKOK GRAPHIC

สรุป หนังสือ “Ways of Seeing” by John Berger

รับออกแบบ Graphic

สรุป หนังสือ “Ways of Seeing” by John Berger โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

“Ways of Seeing” โดย John Berger นำเสนอการสำรวจศิลปะและการรับรู้ทางสายตาอย่างลึกซึ้ง โดยท้าทายมุมมองแบบดั้งเดิม หนังสือเล่มนี้ซึ่งเริ่มแรกเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์ของ BBC ได้ทิ้งร่องรอยความเข้าใจเกี่ยวกับศิลปะไว้อย่างไม่มีวันลบเลือน ต่อไปนี้เป็นข้อมูลสรุปจากแหล่งที่มาต่างๆ

ความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในภาพ: Berger เน้นย้ำว่าภาพมีความหมายหลายชั้นเกินกว่าพื้นผิวของมัน เขาเปิดเผยความลับเบื้องหลังภาพ ทำให้ผู้อ่านมีมุมมองใหม่ในการชื่นชมงานศิลปะ

รหัสภาพเขียนสีน้ำมัน: ในบทที่ห้า เบอร์เกอร์ดำเนินการวิเคราะห์รหัสภาพเขียนสีน้ำมันในอดีต เขาเขียนแผนภูมิว่าการเพิ่มขึ้นของภาพวาดสีน้ำมันเกิดขึ้นพร้อมกับรหัสภาพบางอย่างอย่างไร

ความมั่งคั่งและการครอบครองในงานศิลปะ: ภาพวาดในหนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นคู่รักที่ร่ำรวยในที่ดินของพวกเขา โดยเน้นประเด็นเรื่องทรัพย์สินและการครอบครอง เบอร์เกอร์วิพากษ์วิจารณ์การทำให้งานศิลปะกลายเป็นสินค้า โดยท้าทายแนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับคุณค่าและความเป็นเจ้าของทางวัฒนธรรม

การเรียนรู้และการรับรู้ในวัยเด็ก: เบอร์เกอร์เจาะลึกว่าผู้คนเรียนรู้ที่จะจดจำและวางตำแหน่งตนเองโดยอิงจากสภาพแวดล้อมตั้งแต่วัยเด็กได้อย่างไร เขาเน้นย้ำถึงบทบาทของประสบการณ์ในช่วงแรกๆ ในการสร้างการรับรู้

ท้าทายมุมมองศิลปะของชนชั้นสูง: ด้วย “วิถีแห่งการมองเห็น” Berger ตั้งเป้าที่จะท้าทายมุมมองศิลปะของชนชั้นสูงและลึกลับ หนังสือเล่มนี้ส่งเสริมให้เกิดการสนทนาที่ครอบคลุมและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นเกี่ยวกับแง่มุมทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมของศิลปะ

“Ways of Seeing” โดย John Berger ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1972 และได้รับแรงบันดาลใจจากซีรีส์ทางโทรทัศน์ของ BBC ถือเป็นผลงานศิลปะที่มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้ง โดยเจาะลึกความซับซ้อนของการรับรู้ทางสายตาและท้าทายแนวทางดั้งเดิมในการทำความเข้าใจภาพวาด

การปฏิวัติมุมมองทางศิลปะ: หนังสือของ John Berger มีจุดมุ่งหมายเพื่อปฏิวัติวิธีที่เรารับรู้และตีความงานศิลปะ ด้วยการมุ่งเน้นไปที่การดูภาพเขียน Berger กระตุ้นให้ผู้อ่านพิจารณาอคติของตนเองอีกครั้ง และรับมุมมองเชิงวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเกี่ยวกับทัศนศิลป์

ที่เปิดหูเปิดตาในหลาย ๆ ด้าน: นักวิจารณ์ของ Sunday Times (ลอนดอน) บรรยายอย่างเหมาะสมว่าหนังสือเล่มนี้เป็น “ที่เปิดหูเปิดตาในหลาย ๆ ด้าน” การมุ่งเน้นไปที่กระบวนการสังเกตภาพวาดของ Berger ไม่เพียงแต่ให้ความรู้แก่ผู้อ่านเกี่ยวกับงานศิลปะเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้เกิดการพิจารณาในวงกว้างว่า เรามีส่วนร่วมกับสิ่งเร้าทางสายตาอย่างไร

Television Series Foundation: ต้นกำเนิดของหนังสือในซีรีส์ทางโทรทัศน์ของ BBC เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Berger ในการสร้างงานศิลปะให้เข้าถึงได้ ซีรีส์และหนังสือเล่มต่อๆ ไปนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้งานศิลปะเข้าใจง่ายขึ้น ท้าทายมุมมองของชนชั้นสูง และส่งเสริมให้เกิดการสนทนาที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับการแสดงออกทางศิลปะ

มุมมองที่เปลี่ยนไป: ดังที่นักวิจารณ์ของ Sunday Times ระบุไว้ ผลกระทบของ “วิถีแห่งการมองเห็น” ขยายออกไปมากกว่าแค่หน้าหนังสือเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป การสำรวจการรับรู้ทางสายตาของ Berger มีอิทธิพลต่อวิธีที่ผู้คนมองและชื่นชมภาพอย่างแท้จริง

การตรวจสอบอย่างมีวิจารณญาณของศิลปะ: เบอร์เกอร์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพิจารณางานศิลปะอย่างมีวิจารณญาณ นอกเหนือจากความสวยงาม เขาเจาะลึกว่าปัจจัยทางสังคม เช่น ชนชั้นและเพศ มีอิทธิพลต่อการรับรู้ศิลปะของเราอย่างไร

ประชาธิปไตยและความอิจฉา: เบอร์เกอร์กล่าวถึงแนวคิดเรื่องความอิจฉาในบริบทของโครงสร้างทางสังคม เขาแนะนำว่าความอิจฉาเป็นผลพลอยได้จากสังคมที่ไม่เท่าเทียมกัน และสำรวจผลกระทบของระบอบประชาธิปไตยที่มีต่อการกระจายความมั่งคั่ง

การรับรู้และอุดมการณ์: ผู้เขียนระบุว่าการรับรู้เป็นเรื่องส่วนตัวและได้รับอิทธิพลจากอุดมการณ์ของแต่ละบุคคล เขาเน้นย้ำว่าความเชื่อส่วนบุคคลส่งผลต่อความเข้าใจในศิลปะอย่างไร

การเห็นมาก่อนคำพูด: เบอร์เกอร์ยืนยันว่าการเห็นเป็นพื้นฐานของการดำรงอยู่ของเราและนำหน้าการแสดงออกทางวาจา เขาสำรวจแนวคิดที่ว่าการรับรู้ทางสายตาสร้างการเชื่อมโยงของเรากับโลกก่อนที่ภาษาจะเข้ามาแทรกแซง

คุณค่าและความเป็นเจ้าของทางวัฒนธรรม: เบอร์เกอร์ท้าทายแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับคุณค่าและความเป็นเจ้าของทางวัฒนธรรม เขาแนะนำว่าความสุขจากการถูกอิจฉาสามารถทดแทนความรู้สึกว่างเปล่าของการเป็นเจ้าของงานศิลปะได้

การทำให้งานศิลปะกลายเป็นสินค้า: ในส่วนแรกของหนังสือ เบอร์เกอร์จะตรวจสอบว่าศิลปะมักถูกดัดแปลงให้เป็นสินค้าได้อย่างไร โดยจำกัดความเข้าใจของผู้คนเกี่ยวกับความหมายที่เป็นไปได้ เขาวิพากษ์วิจารณ์การนำงานศิลปะไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และผลกระทบที่มีต่อการรับรู้ของสาธารณชน

โดยสรุป “Ways of Seeing” ท้าทายมุมมองแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับงานศิลปะ กระตุ้นให้ผู้อ่านตั้งคำถามถึงอิทธิพลทางสังคม ประเมินอุดมการณ์ส่วนบุคคลอีกครั้ง และชื่นชมธรรมชาติที่มีหลายแง่มุมของการรับรู้ทางสายตา

เทคนิคการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย ทางการตลาด

เทคนิคการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย ทางการตลาด

กลุ่ม เครื่องมือทำความรู้จักกับกลุ่มเป้าหมายด้วยการวิเคราะห์

  1. S.T.P : Segmentation, Targeting และ Positioning 

กลุ่ม เครื่องมือชุดการหาข้อมูลวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายหาความต้องการและปัญหาที่เป็นอยู่

  • Value Preposition การเสนอคุณค่าแก่ผู้บริโภค
  • Have – Do – Be ค้นหา อยากมี (อยากได้) – อยากทำ และอยากเป็น
  • มาเทียบกับระดับขั้นความต้องการด้วยเครื่องมือ Maslow Hierarchy Needs 

กลุ่ม เครื่องมือทำความรู้จักตนเองเมื่อเทียบกับคู่แข่ง และเข้าใจตลาด

  • 5Fource Model วิเคราะห์อำนาจคู่แข่งขัน 

กลุ่ม เครื่องมือการประกอบสร้าง Brand 

  • เครื่องมือสำหรับการให้ข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญของ Brand : Brand Essence Wheel 
  • เครื่องมือสำหรับการให้ข้อมูลด้านการสื่อสารอัตลักษณ์ Brand Identity Prism
  • เครื่องมือสำหรับการให้ข้อมูลสื่อสารด้านบุคลิกภาพ Brand : Carl Jung Brand Archetypes

เครื่องมือพื้นฐานสำหรับการตลาด 

  • SWOT > TOW Matrix วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน เพื่อกลยุทธ์ทางการตลาด
  • Full Funnel นำการวิเคราะห์กลยุทธ์สู่การทำการตลาดแบบเป็นขั้นตอน

  • กลุ่ม เครื่องมือทำความรู้จักกับกลุ่มเป้าหมายด้วยการวิเคราะห์
  •          โดยทั่วไป ลูกค้าจะเลือกซื้อสินค้าหรือบริการที่ให้ประโยชน์หรือมีคุณสมบัติ ตรงกับความต้องการ สิ่งสำคัญที่ผู้บริหารแบรนด์ต้องเข้าใจ คือ ความเกี่ยวข้อง (Brand Relevance) หมายถึง การที่ลูกค้าต้องมองเห็นความเกี่ยวข้องของสินค้า นั้นกับตัวของลูกค้าเอง นอกเหนือจากประโยชน์ที่จะได้รับจากสินค้าหรือบริการ นั้น ดังนั้น แบรนด์จะต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ความ เกี่ยวข้องนี้ขึ้นอยู่กับความรู้และความเข้าใจของผู้ประกอบการว่า ใครคือกลุ่มลูกค้า เป้าหมายที่แท้จริง ลูกค้าต้องการอะไรจากสินค้าหรือบริการนั้น และผู้ผลิตต้องหา ทางที่จะตอบสนองความต้องการนั้น แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จต้องทำให้ผู้ซื้อ มีความรู้สึกที่ดีและรับทราบถึงคุณค่าของแบรนด์ที่มอบให้ ตัวอย่างเช่นร้านกาแฟ Starbucks ที่มีนโยบายเป็น “The third place” สำหรับลูกค้า รองเท้ากีฬา Nike ที่ทำ ผู้ใส่รู้สึกถึงความสำเร็จในการเล่นกีฬา แชมพู Dove ที่ช่วยบำรุงหนังศีรษะ รถ Volvo ที่ให้ความปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร ฯลฯ ผู้เขียนเคยถามลูกศิษย์รายหนึ่งที่ซื้อปากกา แบรนด์หนึ่งเป็นประจำว่าทำไมถึงเจาะจงซื้อแต่แบรนด์นั้นแม้ว่าจะมีราคาแพงกว่า แบรนด์อื่น ๆ คำตอบที่ได้รับคือ เพราะปากกาแบรนด์นั้นมียางลบในตัวและเขา เป็นคนที่เขียนหนังสือผิดบ่อยทำให้ชื่นชอบปากกาแบรนด์ (รอตติ้ง) เป็นพิเศษ นี่ คือ Brand relevance ปากการอตติ้งมีความเกี่ยวข้องกับลูกค้าอย่างชัดเจนและ สามารถแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ การที่แบรนด์สามารถตอบสนองและส่งมอบคุณค่าที่ เกี่ยวข้องกับความต้องการจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสำเร็จของการวาง ตำแหน่งแบรนด์ในใจลูกค้า

  • S.T.P : Segmentation, Targeting และ Positioning 
  • คำถามที่สำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินงานด้านการตลาดของธุรกิจ ก็คือการ ค้นหาว่ากลุ่มลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคือใคร ต้องการอะไร จะตอบสนองความต้องการ ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้นได้อย่างไร อะไรคือหลักเกณฑ์ที่ควรใช้ในการพิจารณา คัดเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และจะทำอย่างไรให้ลูกค้ากลุ่มนั้นสามารถรับรู้จุดขาย ที่แตกต่างของผลิตภัณฑ์หรือบริการ เพื่อที่บริษัทจะได้วางแผนการตลาดและสื่อสาร คุณค่าหลักของแบรนด์ (Brand Core value) ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้นได้อย่างมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล คำถามทั้งหมดนี้ต้องการข้อมูลถูกต้องและเชื่อถือได้ เพื่อช่วยให้การวางตำแหน่งแบรนด์ประสบผลสำเร็จ
  •             1.1 S. Segmentation
  • ในการหาคำตอบดังกล่าว เรื่องของการแบ่งตลาดออกเป็นส่วน ๆ (Segmentation) และหลักเกณฑ์ในการแบ่งส่วนตลาด (Segmentation criteria) จะมีประโยชน์อย่าง ยิ่งในการค้นหาว่ากลุ่มลูกค้าในตลาดเป็นอย่างไร เพราะเมื่อทำการแบ่งส่วนตลาดโดย ใช้หลักเกณฑ์ที่เหมาะสมมาช่วยในการแบ่งแล้ว สิ่งที่ได้รับ คือ ข้อมูลของลูกค้า (Customer profile) ที่จะช่วยทำให้ได้คำตอบเบื้องต้นที่สำคัญยิ่งทางการตลาดสามประการ นั่นคือ
  • ภาพประกอบที่ 3 ตัวอย่างการให้ข้อมูลกับตัวอย่างกลุ่มเป้าหมายในรูปแบบ Personas 
  • (ภาพประกอบโดย The Design Thinking Playbook,2563)
  • ภาพประกอบที่ 4 รูปแบบผังการทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย 
  • (ภาพประกอบโดย อาจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ)
  • ลูกค้าคือใคร (Who are your customers?)
  • ลูกค้าอยู่ที่ไหน (Where are your customers?)
  • ลูกค้าเป็นอย่างไร (What about your customers?)
  • หมายถึง การแบ่งส่วนตลาดหรือการจัดลูกค้าออกเป็นกลุ่ม ๆ การวางตำแหน่ง แบรนด์จะเชื่อมโยงกับการแบ่งส่วนตลาด และการคัดเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Targeting) ดังที่เรียกว่า S – T – P ซึ่งก็คือ Segmenttion – Targeting – Positioning จากแนวคิดที่ว่าถ้าไม่มีการจัดจำแนกตลาดใหญ่ (Mass market) ออกเป็นตลาดย่อย ที่เป็นกลุ่ม ๆ หรือที่เรียกว่า Segment แล้ว จะเป็นการยากมากที่ผู้บริหารจะกำหนด กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing mix strategy) ได้อย่างเหมาะสมและมี ประสิทธิภาพ เพราะคนในตลาดใหญ่จะมีอำนาจซื้อ ความต้องการ ความชอบ หรือ แรงจูงใจในการซื้อสินค้าบริการที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะเป็นการยากที่ตอบสนอง ความต้องการของคนในตลาดใหญ่ได้ทั้งหมด ดังนั้น จึงเป็นความจำเป็นที่ผู้บริหาร ต้องตอบคำถามเบื้องต้นให้ได้เสียก่อนว่า “ลูกค้าเป้าหมายที่แท้จริงคือใคร”
  • กลยุทธ์การแบ่งตลาดออกเป็นส่วน ๆ หรือการทำ Segmentation ได้เกิดขึ้นมา นานหลายปีแล้ว โดยมีการใช้หลักเกณฑ์ต่างๆ กันในบางแบ่งกลุ่ม (Segmentation (1) criteria) เกณฑ์ที่ได้รับความนิยมมาช้านานจนถึงปัจจุบันได้แก่เกณฑ์ข้อมูลประชากร (Demographic data) ได้แก่การแบ่งกลุ่มโดยใช้ เพศ อายุ อาชีพ รายได้ การศึกษา สถานภาพสมรสม จำนวนในครอบครัว จำนวนบุตร เชื้อชาติ สัญชาติ และการนับถือ ศาสนา เป็นต้น เกณฑ์ข้อมูลประชากรเป็นเกณฑ์ที่ง่ายในการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม การใช้เกณฑ์ประชากรจะไม่สามารถตอบคำถามเรื่องพฤติกรรม แรงจูงใจของผู้บริโภค ตลอดจน Insights ของผู้บริโภคได้จึงเป็นจุดอ่อนของการใช้เกณฑ์ประชากรแต่เพียง อย่างเดียวในการแบ่งกลุ่มตลาด
  • ภาพประกอบที่ 5 ตัวอย่างการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย 
  • (ภาพประกอบโดย The Design Thinking Playbook,2563)
  • นอกจากเกณฑ์ประชากรที่ใช้ในการแบ่งลูกค้าแล้ว เกณฑ์ด้านภูมิศาสตร์ ( Geographic criteria) ก็มักถูกใช้ในการแบ่งผู้บริโภคออกไปตามเขตที่อยู่อาศัย เช่น ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน เป็นต้น การใช้เกณฑ์ภูมิศาสตร์มีประโยชน์ ในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดเพราะไม่ใช่เพียงแต่พื้นที่อยู่อาศัยของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังทำให้ทราบถึงวัฒนธรรมในท้องถิ่นที่ผู้บริโภคอยู่อาศัย (Culture and subculture) ทำให้ทราบถึงแหล่งทำมาหากิน ลักษณะการดำรงชีวิต (Live styles) ศาสนาที่นับถือ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ ดังนั้น ความรู้ด้านสถานที่ทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมในท้องถิ่นที่ผู้คนอยู่อาศัยจะช่วยให้ ผู้บริหารการตลาดสามารถกำหนดเทคนิคการขาย หรือกลยุทธ์การส่งเสริมการขาย ภาษาที่ใช้ในการโฆษณา วิธีการประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ได้อย่างเหมาะสม สอดคล้อง กับการดำรงชีวิตและวัฒนธรรมในท้องถิ่นของผู้บริโภคที่อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ
  • นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง อย่างรวดเร็วในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา เกณฑ์ที่ใช้แบ่งส่วนตลาดก็เริ่มเปลี่ยนไปให้ ความสำคัญกับบุคลิกภาพและชีวิตความเป็นอยู่ (Personality and life styles) ของผู้ บริโภคมากขึ้น ศัพท์ภาษอังกฤษเรียกเกณฑ์นี้ว่า Psychographic ซึ่งหมายถึง เกณฑ์ ด้านบุคลิกภาพและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้อื่น เช่น คนที่ชอบท่องเที่ยว คนที่ชอบ ดูหนังฟังเพลง คนที่ชอบค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต คนที่ชอบออกไปรับประทาน อาหารนอกบ้านในวันหยุด คนชอบดูของเก่า คนที่ชอบดูการแข่งขันกีฬา คนที่เข้า วัดปฏิบัติธรรม คนที่ใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพ ฯลฯ เป็นต้นประโยชน์ของการมีข้อมูล ด้านบุคลิกภาพหรือวิถีชีวิตของกลุ่มลูกค้าเหล่านี้จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถวางแผน กลยุทธ์การตลาดและออกแบบสินค้าหรือบริการได้ตรงกับบุคลิกภาพของกลุ่มเป้า หมายมากขึ้นเพราะมีข้อมูลที่ลึกซึ้งขึ้น ไม่ใช่แค่ข้อมูลว่ากลุ่มลูกค้าเป็นคนอายุเท่าไร มีอาชีพอะไร มีการศึกษาระดับใด ในปัจจุบันจะเห็นธุรกิจต่าง ๆ มีการแบ่งกลุ่มผู้ บริโภคโดยใช้เกณฑ์ Psychographic มากขึ้น เช่นร้านกาแฟ เครือข่ายมือถือ สถาน ที่ท่องเที่ยว บริการเคเบิลทีวี สปาและรีสอร์ต ฯลฯ เพราะผู้บริหารการตลาดจะได้ ออกแบบสินค้า รูปแบบการให้บริการ และการส่งเสริมทางการตลาดแบบต่าง ๆ ได้ ตลาดและทำแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ภาพประกอบที่ 6 ตัวอย่างการแบ่งกลุ่มเป้าหมายด้วย Psychographic
  • (ภาพประกอบโดย https://blog.hubspot.com/insiders/marketing-psychographics)
  • อีกเกณฑ์หนึ่งที่นิยมใช้ในการแบ่งการตลาดออกเป็นกลุ่ม ๆ ก็คือ พฤติกรรม แรงจูงใจ และทัศนคติของผู้บริโภค (Behavior, motivation and attitudes) เช่น พฤติกรรมคนที่ชอบเข้าร้านหนังสือ พฤติกรรมการรับประทานอาหารนอกบ้านกับ ครอบครัวในวันหยุด แรงจูงใจในการไปพักผ่อนที่รีสอร์ตนอกเมือง ฯลฯ ถ้าจะใช้เกณฑ์ นี้ในการแบ่งกลุ่มตลาด ผู้บริหารจำเป็นต้องทำวิจัยผู้บริโภคเพื่อเจาะลึกถึงพฤติกรรม แรงจูงใจ และทัศนคติ ถ้าผู้บริหารการตลาดสามารถทราบแรงจูงใจพฤติกรรมและ ทัศนคติของกลุ่มลูกค้าก็จะสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ในการวางแผน การตลาดและกำหนดตำแหน่งแบรนด์สินค้า/บริการของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไป ในปัจจุบันจะเห็นการใช้เกณฑ์นี้มากขึ้น เช่น ธุรกิจหนังสือแมกกาซีน จะเห็น ว่ามีแมกกาซีนมากมายหลากหลายประเภทในร้านขายหนังสือที่เจาะจงเข้าถึงกลุ่มที่ มีความสนใจแตกต่างกัน เช่น แมกกาซีนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาหารการกิน เสื้อผ้าเครื่องประดับ กีฬาประเภทต่าง ๆ คนรักรถ ฯลฯ ที่น่าสังเกต ก็คือ การแบ่งกลุ่ม ย่อย ๆ ที่เรียกว่า Subsegment ของกลุ่มใหญ่ เช่น หนังสือประเภทกีฬาก็จะแบ่งย่อย ลงไปอีกอย่างชัดเจนว่าเป็นกีฬาประเภทฟุตบอล รถแข่ง เทนนิส กอล์ฟ ฯลฯ เป็นต้น
  • การใช้เกณฑ์ทั้ง 4 ประการในการแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่ม ๆ นี้ จะทำให้การ ทำวิจัยผู้บริโภค (Customer research) เข้ามามีบทบาทในการจัดการด้านการตลาด มากกว่าที่เคยมีในอดีต เนื่องจากการตลาดยุคใหม่จะมีสิ่งแวดล้อมภายนอกของ ธุรกิจที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เหล่านี้ จะส่ง ผลต่อการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจไม่มากก็น้อย การทำการตลาดจะมีความเสี่ยง เพิ่มขึ้น ดังนั้น การทำวิจัยการตลาด (Marketing research) หรือการทำวิจัยผู้บริโภค (Cutomer research) จะช่วยให้ได้ข้อมูลบางประการที่จะช่วยตอบคำถามที่สงสัยไม่ แน่ใจเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการตัดสินใจของผู้บริหารลง
  • ภาพประกอบที่ 7 ตัวอย่างการแบ่งกลุ่มเป้าหมายด้วย Behavior, motivation and attitudes
  • (ภาพประกอบโดย https://www.yieldify.com/blog/behavioral-segmentation-definition-examples/)
  • T. Targeting กลุ่มเป้าหมาย
  • เมื่อผู้บริหารทราบว่าผู้บริโภคในตลาดสามารถแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ได้กี่กลุ่ม และ แต่ละกลุ่มมีข้อมูลลูกค้า (Customer profile) เป็นอย่างไรแล้ว จากนั้นก็จะสามารถ ตัดสินใจหรือเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ (Targeted customer) ว่าควรจะเป็นกลุ่ม ใด ดังนั้น Targeting จึงหมายถึงการคัดเลือกกลุ่มตามเป้าหมาย (Market selection) นั่นเอง
  • ในการคัดเลือกตลาดเป้าหมายที่เหมาะสมกับการทำธุรกิจของบริษัทคำถาม คือ จะใช้หลักเกณฑ์ใดในการพิจารณาคัดเลือกเป้าหมาย เพราะการคัดเลือกเป้า หมายที่ถูกต้อง (The right target) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการกำหนดตำแหน่งของแบรนด์เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่ได้คัดเลือกมา โดยหลักการแล้ว การพิจารณาคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม ควรพิจารณาหลัก เกณฑ์อย่างน้อย 6 หลักเกณฑ์ ดังนี้
  • (1) ตลาดต้องมีขนาดใหญ่พอสมควร (Sufficient market size) ตลาด ที่ผู้บริหารควรพิจารณาคัดเลือกต้องมีจำนวนลูกค้าในตลาดใหญ่พอที่จะนำแบรนด์ สินค้า/บริการเข้าสู่ตลาดนั้น เพราะถ้าขนาดตลาดเล็กเกินไปอาจจะไม่คุ้มค่ากับการ ทำธุรกิจดังนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องมีข้อมูลขนาดตลาดของกลุ่มต่าง ๆ เพื่อช่วยในการ ตัดสินใจ
  • (2) ตลาดต้องมีอุปสงค์สม่ำเสมอ (Stable demand) ผู้บริหารต้องมีการ สำรวจตลาด (Market survey) เสียก่อนเพื่อจะได้ทราบว่าผู้บริโภคในตลาดนั้นมีอุปสงค์ อย่างไรในสินค้าหรือบริการนั้น กลุ่มบริโภคที่มีความต้องการในสินค้าหรือบริการนั้น อย่างสม่ำเสมอและมีอำนาจซื้อ (Purchasing power) จะเป็นตลาดที่น่าสนใจมากกว่า ตลาดที่มีอุปสงค์ไม่คงที่เปลี่ยนแปลงง่ายขึ้น ๆ ลง ๆ และอาจมีความเสี่ยงสูง ดังนั้น ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องมีข้อมูลอุปสงค์และข้อมูลของผู้บริโภคในตลาดนั้น ๆ ก่อนที่ จะตัดสินใจต้องวิเคราะห์สถานการณ์สภาพแวดล้อมทางการตลาด มีข้อมูลของคู่ แข่งที่ขายสินค้าประเภทเดียวกัน มีการพูดคุยซักถามลูกค้าหรือสำรวจตลาดจริงเพื่อ ที่จะได้ทราบข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจคัดเลือกตลาดเป้าหมายต่อไป
  • (3) ตลาดควรมีศักยภาพที่จะเจริญเติบโตต่อไปในอนาคต (Potential growth) ตลาดที่เหมาะสมจะเป็นตลาดเป้าหมายนั้นควรมี ศักยภาพที่จะเติบโตได้ในอนาคต ศักยภาพสามารถพิจารณาได้จากหลายปัจจัย เช่น อุปสงค์ของผู้บริโภคที่มีความชัดเจน เทคโนโลยีที่ใช้ในปัจจุบันสามารถ รองรับการขยายตัวของตลาดได้พื้นที่หรือสถานที่นั้นอยู่ในแผนการพัฒนาของ รัฐบาล ฯลฯ ผู้บริหารจำเป็นต้องมีข้อมูลและต้องเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างกลุ่ม ตลาดต่าง ๆ เพื่อที่จะได้ตัดสินใจเลือกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
  • (4). ต้องสื่อสารกับผู้บริโภคตลาดนั้นได้ (Communicability) เนื่องจากการ วางตำแหน่งแบรนด์มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสื่อสารทางการตลาด (Marketing Communication) ดังนั้น ความสามารถที่จะสื่อสารทางการตลาดกับกลุ่มลูกค้าเป้า หมายให้มีความเข้าใจและรับรู้ในคุณค่าของแบรนด์นั้นจะเป็นกุญแจสำเร็จในการ วางตำแหน่ง บริษัทต้องหาวิธีที่จะเข้าถึงลูกค้าและสื่อสารกับลูกค้าไม่ว่าจะเป็นการ สื่อสารทางการพูด การเขียน การใช้รูปภาพหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ จึงต้องมีความเข้าใจ
  • ในทัศนคติ ทราบถึงแรงจูงใจ และพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าในตลาดนั้นเพื่อจะ ได้สื่อสารเรื่องราวของสินค้ากับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความเข้าใจที่ ตรงกัน หลักการของการสื่อสาร คือ ต้องมีเป้าหมายให้ชัดเจนเสียก่อนว่าจะ สื่อสารกับใคร เพื่อวัตถุประสงค์อะไร และจะพูดกับใคร พูดหรือเขียนอย่างไร เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันทั้งผู้ส่งและผู้รับ ต้องระลึกเสมอว่าการสื่อสารที่ มีประสิทธิภาพมากที่สุดนั้นต้องพยายามพูดหรือเขียนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายที่สุด เพื่อที่จะทำให้ลูกค้าเข้าใจและรับรู้เนื้อหาที่ต้องการสื่อสารได้เร็วที่สุด
  • (5). การคมนาคมไม่ลำบากเกินไปหรือไม่มีต้นทุนสูงเกินไป (Not too high cost transportation) ในทางกายภาพ ระยะทางระหว่างสถานที่ตั้งของ ตลาดเป้าหมายกับบริษัทมีความสำคัญมาก เพราะยิ่งตลาดอยู่ไกลมากก็ยิ่งจะมีค่า ใช้จ่ายมากขึ้น ดังนั้น ระยะทางใกล้ไกลจึงเป็นเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่ายทางการตลาด ผู้บริหารจำเป็นต้องมีข้อมูลในเรื่องนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจ ในบางกรณีตลาด ที่กำลังพิจารณาอาจจะดูน่าสนใจเพราะมีขนาดใหญ่และผู้บริโภคก็มีความต้องการ และอำนาจซื้อ เช่น ผลไม้ไทยที่เป็นที่ต้องการในประเทศแถบตะวันออกกลาง แต่ เนื่องจากมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปในคมนาคมขนส่ง ระบบสาธารณูปโภคยังไม่ สะดวก ยังไม่มีความปลอดภัยเท่าที่ควร ฯลฯ ผู้บริหารจึงต้องพิจารณารายละเอียด ทุกอย่างด้วยความรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจเลือกตลาดที่เหมาะสมที่สุด ในหลาย กรณีที่การคมนาคมไม่ใช่อุปสรรคเพราะไม่ได้อยู่ห่างไกลกันเกินไป แต่อุปสรรคอาจ จะเกิดจากสภาพการณ์หรือสิ่งแวดล้อมของตลาดในประเทศนั้น ๆ ที่ยังไม่เอื้ออำนวย ต่อการเข้าไปในตลาดนั้น
  • (6). ศักยภาพของบริษัท (Company’s potential) เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ ต่าง ๆ ทั้ง 5 ข้อในข้างต้น อาจจะยังไม่สามารถสรุปได้ว่าตลาดกลุ่มใดเป็นตลาดที่ควร ได้รับการคัดเลือกจนกว่าบริษัทจะทำการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง สถานะทางการ เงิน เทคโนโลยี กำลังคน กำลังการผลิต ศักยภาพในการพัฒนาตลาด วัตถุประสงค์ ในการทำธุรกิจ ซึ่งการวิเคราะห์ศักยภาพโดยรวมของบริษัทจะช่วยให้บริษัทเองทราบ ว่ามีความพร้อมในระดับใดที่จะเข้าไปทำธุรกิจในตลาดกลุ่มเป้าหมายนั้นในอนาคต
  • หลักเกณฑ์ 6 ประการนี้เป็นหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการคัดเลือกตลาดเป้าหมาย นอกเหนือจากหลักเกณฑ์เหล่านี้ผู้บริหารอาจจะพิจารณาใช้เกณฑ์อื่น ๆ ที่เหมาะสม เช่น ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารว่าต้องใช้ภาษาใดหรือจะพูดอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด ความแตกต่างของวัฒนธรรมท้องถิ่นที่บริษัทอาจต้องปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับการดำเนิน ชีวิตของผู้คนในพื้นที่นั้น ฯลฯ ในการพิจารณาคัดเลือกตลาดเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้บริหารอาจใช้วิธีให้คะแนนหลักเกณฑ์ของแต่ละเกณฑ์ โดยการพิจารณาจาก ข้อมูลที่ค้นคว้าหามาได้ ซึ่งจะทำให้การคัดเลือกตลาดกลุ่มเป้าหมายมีความชัดเจน มากขึ้นเพราะมีการประเมินเป็นตัวเลข ในกรณีที่มีผู้ประเมินหลายคนอาจคิดค่าเฉลี่ย ตาราง 3.1 แสดงถึงการพิจารณาตลาด 3 ตลาดคือ A B และ C โดยที่มีคะแนนเต็ม ของเกณฑ์ข้อละ 10 คะแนน คะแนนรวมทั้งหมดคือ 60 คะแนน ตลาดที่ได้คะแนน รวมสูงสุดคือ B ได้ 43 คะแนนหรือ 71.66 % ผู้บริหารจึงควรตัดสินใจเลือก B เป็น ตลาดกลุ่มเป้าหมาย
  • P.-Positioning
  • เมื่อผู้ประกอบการได้คัดเลือกตลาดเป้าหมาย (targeting หรือ Market Selection) โดยใช้หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามที่ได้อธิบายข้างต้นเรียบร้อยแล้ว ผู้บริหารก็ จะสามารถวางตำแหน่งของแบรนด์สินค้าหรือบริการที่จะขายในตลาดเป้าหมายนั้น ซึ่งในการวางตำแหน่งแบรนด์ (Brand positioning) ผู้บริหารต้องระบุคุณค่าที่เป็น แก่นแท้ของแบรนด์ (Core brand value) ที่ต้องการนำเสนอให้ลูกค้าในตลาดนั้นได้ ทราบว่าอะไรคือคุณค่าของแบรนด์นั้น ตำแหน่งที่จะนำเสนอต้องตรงกับความต้องการ ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายการวางตำแหน่งจึงจะได้ผล ยิ่งผู้บริหารมีความรู้เกี่ยวกับผู้ บริโภคในตลาดกลุ่มเป้าหมายมากเท่าใดก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะทำให้การวางตำแหน่ง แบรนด์ให้ประสบความสำเร็จมากเท่านั้น ตัวอย่างเช่นการวางตำแหน่งของแบรนด์ ระดับโลกอย่าง Apple ที่มีการสื่อสารตำแหน่งของแบรนด์อย่างชัดเจนเรื่อง “Think different” ลูกค้าไม่ได้มองว่า Apple เป็นสินค้าประเภทมือถือหรือสินค้าในกลุ่มไอที แต่กลับมองว่า Apple เป็นสินค้านวัตกรรมที่มีการออกแบบที่ทันสมัยสอดคล้องกับ วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ เป็นที่ยอมรับในสังคม ใช้ง่ายและมีฟังก์ชั่นการทำงานที่ตอบ สนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดีในโลกยุคดิจิตัล

ใช้ AI. ช่วยออกแบบ Graphic Design ได้อย่างไร

ออกแบบกราฟิก

วิธีนำปัญญาประดิษฐ์ไปใช้ในกระบวนการสั่งงานสำหรับการออกแบบกราฟิก Graphic Design
การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกระบวนการสั่งงานสำหรับการออกแบบกราฟิกสามารถเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพ และคุณภาพการออกแบบโดยรวมได้อย่างมาก

ทำความเข้าใจการประยุกต์ใช้ AI ในการออกแบบกราฟิก
AI นำเสนอแอพพลิเคชั่นมากมายในการออกแบบกราฟิก ช่วยให้นักออกแบบสามารถปรับปรุงกระบวนการและบรรลุผลลัพธ์ที่สร้างสรรค์ได้ดีขึ้น การสำรวจวิธีต่างๆ ที่จะสามารถนำ AI ไปใช้เป็นสิ่งสำคัญ เช่น กระบวนการทำซ้ำอย่างรวดเร็ว การสำรวจความคิดสร้างสรรค์ และการปรับแต่งทิศทางการออกแบบ

การใช้ประโยชน์จากระบบผู้ช่วยการออกแบบ
พิจารณาการนำระบบผู้ช่วยออกแบบมาใช้โดยอาศัย AI ระบบเหล่านี้ซึ่งมีรากฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้เชิงลึก สามารถมีส่วนช่วยอย่างมากในการปรับปรุงขั้นตอนการออกแบบ พวกเขาให้ข้อมูลเชิงลึกว่า AI สามารถช่วยนักออกแบบในกระบวนการตัดสินใจและเพิ่มความคิดสร้างสรรค์โดยรวมได้อย่างไร

การสำรวจผลกระทบของ AI ที่มีต่อการออกแบบกราฟิก
ตระหนักถึงผลกระทบของ AI ต่อกระบวนการออกแบบกราฟิก แม้ว่านักออกแบบแต่ละคนจะมีแนวทางเฉพาะตัว แต่แอปพลิเคชัน AI ที่ออกแบบด้วยอัลกอริธึมที่คำนวณไว้ล่วงหน้าสามารถมีอิทธิพลและเพิ่มพูนกระบวนการสร้างสรรค์ของผู้ใช้ได้ การทำความเข้าใจพลวัตเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการบูรณาการที่ประสบความสำเร็จ

การนำทางเครื่องมือออกแบบ AI
เครื่องมือออกแบบ AI มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของนักออกแบบกราฟิก พวกเขาแนะนำเทคนิคและแนวทางใหม่ ๆ โดยกำหนดให้นักออกแบบต้องปรับตัวและปรับปรุงกระบวนการของตนอย่างต่อเนื่อง การสำรวจเครื่องมือเหล่านี้และความเกี่ยวข้องมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการบูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการสั่งงาน

การประเมินข้อดีข้อเสีย
การทำความเข้าใจข้อดีข้อเสียของการใช้เครื่องมือ AI ในการออกแบบกราฟิกถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแนวทางที่สมดุล แม้ว่า AI จะนำมาซึ่งประสิทธิภาพและนวัตกรรม แต่ก็อาจก่อให้เกิดความท้าทาย เช่น เส้นโค้งการเรียนรู้เบื้องต้น การประเมินปัจจัยเหล่านี้ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีการนำ AI มาใช้ในกระบวนการสั่งงานอย่างรอบคอบและมีข้อมูลครบถ้วน

Byline : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

แนวคิด ทฤษฎีทางศิลปวิจารณ์ Art Criticism

ศิลปวิจารณ์ พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

การทำความเข้าใจความซับซ้อนของศิลปะ : หลักการ ทฤษฎี การวิจารณ์ สุนทรียศาสตร์ และการวิเคราะห์
ศิลปะที่แทบไร้ขีดจำกัดของความคิดที่สร้างสรรค์มาบรรจบกับการแสดงออก ประกอบด้วยหลักการ ทฤษฎี การวิจารณ์ สุนทรียศาสตร์ และการวิเคราะห์ ซึ่งกำหนดรูปแบบการรับรู้และการโต้ตอบกับทัศนศิลป์ ในการสำรวจที่ครอบคลุมนี้ เราได้เจาะลึกองค์ประกอบแต่ละอย่างและระบุหลักการของการวิจารณ์ทัศนศิลป์

หลักการวิจารณ์ทัศนศิลป์ :

สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบคุณสมบัติทางกายภาพของงานศิลปะอย่างเป็นกลาง รวมถึงรายละเอียดต่างๆ เช่น ขนาด สี พื้นผิว และองค์ประกอบ คำอธิบายอย่างละเอียดเป็นรากฐานสำหรับการวิเคราะห์เชิงลึก

การวิเคราะห์ : การวิเคราะห์งานศิลปะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรื้อถอนองค์ประกอบต่างๆ และทำความเข้าใจว่าศิลปะทำงานร่วมกันอย่างไร ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาหลักการออกแบบ เช่น ความสมดุล คอนทราสต์ และจังหวะ เพื่อให้เข้าใจถึงความตั้งใจของศิลปิน

การตีความ : ในที่นี้ ผู้ชมนำเสนอการตีความความหมายของงานศิลปะด้วยตนเอง การตีความอาจแตกต่างกันอย่างมาก และได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ส่วนตัว อารมณ์ และภูมิหลังทางวัฒนธรรมของแต่ละบุคคล

การตัดสินคุณค่า : การวิจารณ์ศิลปะไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยคำตัดสิน แต่มักจะรวมถึงการตัดสินหรือการประเมินผลงานศิลปะด้วย นักวิจารณ์อาจประเมินคุณค่าทางศิลปะและสุนทรียศาสตร์ของผลงาน ผลกระทบ และความเกี่ยวข้องของผลงานในโลกศิลปะ

ทฤษฎีศิลปะ :

ทฤษฎีศิลปะเป็นกรอบในการทำความเข้าใจและตีความศิลปะ ทฤษฎีที่โดดเด่นบางประการ ได้แก่ :

  1. รูปแบบนิยม : ทฤษฎีนี้มุ่งเน้นไปที่คุณสมบัติที่เป็นทางการของศิลปะ เช่น รูปร่าง สี และองค์ประกอบ เน้นย้ำถึงลักษณะเฉพาะของงานศิลปะ

2. ลัทธิหลังสมัยใหม่ : ลัทธิหลังสมัยใหม่ท้าทายแนวคิดดั้งเดิมของศิลปะ และยอมรับความหลากหลาย การไม่แบ่งแยก และการตีความที่หลากหลาย

วิจารณ์ศิลปะ :

การวิจารณ์ศิลปะเป็นการฝึกอภิปรายและประเมินทัศนศิลป์ สามารถเข้าถึงได้จากมุมมองที่แตกต่างกัน ได้แก่ :

การวิจารณ์ด้านสุนทรียภาพ: วิธีการนี้จะประเมินความงามและผลกระทบทางอารมณ์ของงานศิลปะ

การวิจารณ์ตามบริบท: การวิจารณ์ตามบริบทพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมของงานศิลปะเพื่อตีความความหมาย

สุนทรียศาสตร์ :

สุนทรียศาสตร์สำรวจปรัชญาของศิลปะและความงาม โดยจะสำรวจคำถามต่างๆ เช่น อะไรทำให้เกิดสิ่งที่สวยงาม บทบาทของศิลปะในชีวิตของเรา และธรรมชาติของประสบการณ์ทางศิลปะ ทฤษฎีสุนทรียศาสตร์มีส่วนช่วยให้เราเข้าใจถึงผลกระทบของศิลปะที่มีต่อประสาทสัมผัสและสติปัญญาของเรา

การวิเคราะห์งานศิลปะ :

การวิเคราะห์ทางศิลปะเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบงานศิลปะอย่างละเอียด ครอบคลุมการประเมินองค์ประกอบและหลักการของศิลปะ การเปิดเผยสัญลักษณ์ และการทำความเข้าใจความตั้งใจของศิลปิน การวิเคราะห์ช่วยให้ผู้ชมชื่นชมความแตกต่างและความซับซ้อนภายในงานศิลปะ

โดยสรุป โลกแห่งศิลปะเป็นขอบเขตที่หลากหลาย ซึ่งหลักการ ทฤษฎี การวิจารณ์ สุนทรียศาสตร์ และการวิเคราะห์มาบรรจบกันเพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับทัศนศิลป์ แต่ละองค์ประกอบเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในความสามารถของเราในการชื่นชม ตีความ และประเมินงานศิลปะ ไม่ว่าคุณจะเป็นศิลปิน นักวิจารณ์ หรือผู้ชื่นชอบงานศิลปะ องค์ประกอบเหล่านี้เป็นรากฐานของการมีส่วนร่วมกับโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์อันน่าหลงใหล

Byline : ผศ.ดร.พิสิฐ ตั้งพรรปะเสริฐ

เคล็ดลับการออกแบบเว็บไซต์ยังไงให้คนสนใจ

รับออกแบบ Website
จุดมุ่งหมายหลักของเว็บไซต์หรือธุรกิจทุกแห่งก็คือการเป็นที่สนใจของผู้คนให้ได้มากที่สุดเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นได้ ถ้าหากว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจหรือนักเขียนโปรแกรมหน้าใหม่ที่กำลังย่างก้าวเข้ามายังโลกแห่งธุรกิจเป็นครั้งแรก จะทำยังไงให้มีคนมาสนใจเว็บไซต์ของเรา วันนี้เราจะมาแบ่งปันเคล็ดลับการออกแบบเว็บไซต์ให้คนสนใจกัน

ทำไมความสนใจของผู้ใช้งานถึงสำคัญ แล้วมันคืออะไรกันแน่?

ความสนใจของผู้ใช้งานหรือที่รู้จักกันในชื่อ Engagement คือการดำเนินการตลาดโดยอาศัยกลยุทธ์และเนื้อหาบนโลกออนไลน์เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์อย่างมีความหมายจากลูกค้า ซึ่งถือเป็นการสร้างความภักดีต่อแบรนด์ (brand loyalty) อีกด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการลงโฆษณา การขายสินค้าหรือบริการผ่านอีเมล หรือการสร้างสื่อบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยจุดประสงค์ของกลยุทธ์การตลาดที่อาศัย engagement คือการทำให้ผู้ใช้งานมีความสนใจในสินค้าหรือบริการของเรา หรือสามารถเลือกซื้อสินค้าหรือบริการได้ง่ายขึ้น หรือสามารถรับบริการหลังการขายได้สะดวกขึ้น พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นการทำให้ลูกค้าหรือผู้ใช้งานที่อาจจะเป็นลูกค้า มีความสนใจหรือประทับใจในตัวบริษัทมากขึ้นเพื่อสร้างความรักในแบรนด์ของบริษัทอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

เคล็ดลับในการเพิ่ม Engagement

สำหรับคนที่เพิ่งเข้าสู่วงการแล้วอยากจะเพิ่ม engagement คงอาจจะมองว่าการเพิ่ม engagement จะต้องอาศัยการโฆษณาหรือเข้าหาผู้คนเพียงอย่างเดียว แต่การทำความเข้าใจระบบเบื้องหลังและการเข้าใจกลไกทางสังคมต่าง ๆ เองก็สามารถช่วยให้เรารู้วิธีเพิ่ม engagement ที่อาจจะเหมาะสมกับช่องทางของเรามากที่สุดครับ

สร้างคอนเทนต์ให้ชัดเจนและเกี่ยวข้อง

ขั้นแรกของการเข้าใจ engagement คือเข้าใจว่า “ผู้ใช้งานจะเข้ามาใช้สื่อของเราเพราะอะไร?” เมื่อเข้าใจเช่นนั้นแล้ว เราก็ควรจะเพิ่มคอนเทนต์ให้ชัดเจน และจะต้องเป็นคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มของเราด้วย

เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานได้มีส่วนร่วม

เคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไมพวกนักสร้างคอนเทนต์หรืออินฟลูเอนเซอร์ถึงชอบให้คนดูคอมเมนต์ว่าตัวเองคิดอะไร นั่นก็เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มักจะชื่นชอบโอกาสในการแสดงความคิดเห็นของตัวเอง โดยเฉพาะถ้าตัวเองมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าเกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ ครับ ซึ่งอารมณ์หรือความคิดเห็นของมนุษย์เองก็เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังและมีประโยชน์มาก ๆ ดังนั้น เวลาลงคอนเทนต์ในเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย ก็พยายามลองเปิดโอกาสให้ผู้ติดตามได้แสดงความคิดเห็นหรือแบ่งปันโพสต์ไปให้คนอื่น ๆ ได้พูดคุยกัน เช่นนี้ เราก็จะสามารถเติบโตได้ผ่าน “ความอยากรู้” ของคนแล้วล่ะครับ

ใช้ประโยชน์จากแชตบอต

แชตบอตมีประโยชน์มาก ๆ สำหรับการริเริ่มบทสนทนาและช่วยเเปลง “ผู้เยี่ยมชม” ให้กลายเป็น “ลูกค้า” ได้ครับ ลองนึกภาพดูว่า เรากำลังเข้าไปตามหาของในเว็บไซต์ที่ค่อนข้างซับซ้อน เต็มไปด้วยข้อมูล ต่อให้เราจะอยากได้ของมากแค่ไหน ถ้าเรารู้สึกเกรงกลัวข้อมูลจำนวนมาก เราก็คงจะเปลี่ยนใจไปใช้เว็บอื่นถูกมั้ยครับ แต่ถ้าเกิดมีข้อความจากแชตบอตขึ้นมาทักทาย ขึ้นมาพร้อมช่วยเหลือเรา มันก็ถือเป็นปฏิสัมพันธ์ที่อาจจะทำให้ผู้เยี่ยมชมที่สนใจได้มีโอกาสกลายเป็นลูกค้าของเราขึ้นมาได้ครับ

แนวโน้นงานออกแบบ Graphic ปี 2023

รับออกแบบ Graphic

Introduction

ในภูมิทัศน์แบบไดนามิกของการออกแบบ สาขาการออกแบบกราฟิกได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งซึ่งได้รับแรงหนุนจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และการแสวงหานวัตกรรมการสื่อสารด้วยภาพ ขณะที่เราเจาะลึกลงไปในปี 2023 ขอบเขตของการออกแบบกราฟิกกำลังประสบกับยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา โดยได้รับแรงหนุนจากการวิจัยใหม่และหลักการที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งกำลังกำหนดแนวทางที่นักออกแบบจะเข้าถึงงานฝีมือของพวกเขา บทความนี้ให้ภาพรวมที่ครอบคลุมของการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับการออกแบบกราฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งเน้นไปที่การศึกษาที่ก้าวล้ำจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ และเจาะลึกถึงการเกิดขึ้นของหลักการและทฤษฎีใหม่ๆ ที่พร้อมจะกำหนดนิยามใหม่ของอุตสาหกรรม

วิวัฒนาการของการวิจัยการออกแบบกราฟิก

ขอบเขตของการออกแบบกราฟิกได้พัฒนาไปอย่างมากจากรากเหง้าแบบดั้งเดิม ซึ่งการตัดสินใจออกแบบมักจะถูกชี้นำโดยสัญชาตญาณของนักออกแบบ ด้วยการเพิ่มจำนวนของวัฒนธรรมย่อยที่หลากหลาย การเพิ่มขึ้นของการเชื่อมต่อทั่วโลก และการกำเนิดของแพลตฟอร์มดิจิทัล การออกแบบกราฟิกได้เปลี่ยนไปสู่ระเบียบวินัยที่ขับเคลื่อนด้วยการวิจัย ในยุคที่ผู้ชมเฉพาะกลุ่มต้องการประสบการณ์ด้านภาพที่ปรับให้เหมาะสม กระบวนการออกแบบที่เน้นการวิจัยได้กลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงและนักวิจัยด้านการออกแบบเป็นแนวหน้าของการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยมีส่วนร่วมในการศึกษาที่ก้าวล้ำซึ่งเชื่อมช่องว่างระหว่างการวิจัยและการปฏิบัติ

ข้อมูลเชิงลึกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ

มหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกมีส่วนสำคัญในการผลักดันวิวัฒนาการของการวิจัยการออกแบบกราฟิก แหล่งข้อมูลเชิงลึกที่โดดเด่นแหล่งหนึ่งคือสิ่งพิมพ์ “Design Studies: Theory and Research in Graphic Design” การรวบรวมบทความที่เขียนโดยเครือข่ายนักวิจัยด้านการออกแบบทั่วโลก เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทดลองและการวิเคราะห์อย่างเข้มงวดในกระบวนการออกแบบ บทความเน้นย้ำว่าการวิจัยสามารถปรับปรุงการออกแบบได้อย่างไรโดยการสำรวจหัวข้อที่หลากหลาย เช่น อิทธิพลของวัฒนธรรมฮิปฮอปที่มีต่อสุนทรียภาพในการออกแบบ ผลกระทบของความแตกต่างทางวัฒนธรรมต่อการออกแบบสำหรับประเทศโลกที่สาม และวิธีการสอนการวิจัยที่สร้างสรรค์ให้กับนักศึกษาด้านการออกแบบ สิ่งพิมพ์นี้ทำหน้าที่เป็นข้อมูลอ้างอิงที่ชัดเจนสำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านการออกแบบและนักศึกษาที่ต้องการรวมการวิจัยเข้ากับความพยายามที่สร้างสรรค์ของพวกเขา

ทฤษฎีการออกแบบกราฟิกและเทคโนโลยีการบรรจุ

ในขอบเขตของการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ทฤษฎีการออกแบบกราฟิกมีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบการออกแบบที่มีประสิทธิภาพและส่งผลกระทบ “การวิจัยและการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการออกแบบกราฟิกในเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์” เป็นการศึกษาที่ประเมินการประยุกต์ใช้ทฤษฎีกราฟิกและหลักการในการสร้างการออกแบบบรรจุภัณฑ์จากมุมมองของผู้บริโภค งานวิจัยนี้เจาะลึกว่าทฤษฎีการออกแบบกราฟิกมีอิทธิพลต่อการสร้างบรรจุภัณฑ์และพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างไร เป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของทฤษฎีการออกแบบที่ผ่านการตรวจสอบแล้วในการสร้างสิ่งเร้าทางสายตาที่น่าสนใจและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค การศึกษาเน้นย้ำถึงบทบาทของทฤษฎีการออกแบบในฐานะจินตนาการที่มีระเบียบวินัยซึ่งชี้นำทางเลือกของนักออกแบบและแจ้งผลการออกแบบ

ผสมผสานทฤษฎีสู่การปฏิบัติ

การบูรณาการทฤษฎีการออกแบบกราฟิกสู่การปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนนวัตกรรมและปรับปรุงผลการออกแบบ เมื่อทฤษฎีการออกแบบพัฒนาไปพร้อมกับวัฒนธรรมและเทคโนโลยี นักออกแบบมักจะรวมเอาทฤษฎีจากสาขาวิชาต่างๆ การวิจัยการออกแบบกราฟิกร่วมสมัยเน้นความสำคัญของแนวทางแบบองค์รวม โดยพิจารณาจากแง่มุมต่างๆ เช่น ศิลปะ สถาปัตยกรรม เศรษฐศาสตร์ และสังคมวิทยา การทำงานร่วมกันระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติช่วยให้นักออกแบบสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ค้นพบสิ่งที่เหมือนกัน และจัดการกับความท้าทายในการออกแบบที่ซับซ้อน นักออกแบบถูกท้าทายให้มองว่าทฤษฎีไม่ใช่กรอบที่ตายตัว แต่เป็นเครื่องมือแบบไดนามิกที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาระเบียบวินัยในการออกแบบ

ความสามารถในการมองเห็นและการพัฒนาในอนาคต

ในขณะที่การออกแบบกราฟิกมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มิติใหม่ของความสามารถก็เข้ามาให้ความสำคัญ “การศึกษาด้านการออกแบบ: ทฤษฎีและการวิจัยด้านการออกแบบกราฟิก” เน้นย้ำถึงบทบาทของความสามารถในการมองเห็นในการสร้างอนาคตของการศึกษาด้านการออกแบบกราฟิก การศึกษาเน้นย้ำถึงความจำเป็นสำหรับนักออกแบบในการปรับตัวให้เข้ากับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและรวมเครื่องมือและวิธีการที่เป็นนวัตกรรมเข้ากับการปฏิบัติของพวกเขา โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของทฤษฎีการออกแบบกราฟิกในการปลูกฝังความสามารถในการมองเห็น ทำให้นักออกแบบสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และความต้องการของอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผสมผสานระหว่างทฤษฎีและทักษะการปฏิบัตินี้ทำให้นักออกแบบสามารถสร้างการสื่อสารด้วยภาพที่มีผลกระทบและนำไปสู่ความก้าวหน้าของระเบียบวินัยการออกแบบ

ในโลกของการออกแบบกราฟิกที่มีการพัฒนาตลอดเวลา การบูรณาการการวิจัยและทฤษฎีสู่การปฏิบัติกำลังสร้างยุคใหม่ของความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยชั้นนำและนักวิจัยด้านการออกแบบเป็นแนวหน้าของการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยสร้างข้อมูลเชิงลึกที่กำหนดกระบวนการและผลลัพธ์การออกแบบใหม่ ในขณะที่นักออกแบบกราฟิกสำรวจภูมิทัศน์ที่ซับซ้อนของการสื่อสารด้วยภาพ การรวมทฤษฎีการออกแบบที่ผ่านการตรวจสอบแล้วจะช่วยให้พวกเขาสร้างงานออกแบบที่น่าสนใจ เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม และสร้างผลกระทบ การผสมผสานระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติไม่เพียงเพิ่มคุณค่าให้กับการศึกษาด้านการออกแบบ แต่ยังปูทางสำหรับอนาคตที่การออกแบบกราฟิกยังคงดึงดูดผู้ชม ขับเคลื่อนพฤติกรรมผู้บริโภค และมีส่วนร่วมในขอบเขตที่กว้างขึ้นของวัฒนธรรมภาพ ด้วยพู่กันและพิกเซลแต่ละเส้น นักออกแบบกำลังมีส่วนร่วมในพรมแบบไดนามิกที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณและขับเคลื่อนการออกแบบกราฟิกไปสู่ดินแดนแห่งความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ไม่จดที่แผนที่

byline : ผศ.ดร.พิสิฐ ตั้งพรรปะเสริฐ

สูตรการออกแบบ Brand ด้วย My StoryBrand SB7

รับออกแบบ Branding

Review หนังสือ My Story Brand โดย ผู้ช่วยศาสตร์จารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

ความสำคัญ
ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน กลยุทธ์การสร้างแบรนด์และการตลาดที่มีประสิทธิภาพมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดึงดูดความสนใจและความภักดีของลูกค้า Donald Miller ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ที่มีชื่อเสียงได้พัฒนากรอบการทำงานอันทรงพลังที่เรียกว่า StoryBrand SB7 ซึ่งมีกระบวนการทีละขั้นตอนในการสร้างเรื่องเล่าของแบรนด์ที่น่าสนใจ บทความนี้จะสำรวจองค์ประกอบหลักของเฟรมเวิร์ก StoryBrand SB7 และวิธีที่องค์ประกอบเหล่านั้นนำไปสู่การเล่าเรื่องของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ

1.ตัวละคร A Character :
หัวใจสำคัญของกรอบ StoryBrand SB7 คือการรับรู้ว่าลูกค้าคือฮีโร่ของเรื่องราวของแบรนด์ แทนที่จะเน้นที่คุณสมบัติและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์หรือบริการเพียงอย่างเดียว มิลเลอร์เน้นที่การเริ่มต้นจากมุมมองของลูกค้า องค์ประกอบแรกของเฟรมเวิร์กเกี่ยวข้องกับการสร้างตัวละคร—ลูกค้า—ที่ต้องการบางอย่าง ด้วยการทำความเข้าใจความต้องการและแรงบันดาลใจของลูกค้า ธุรกิจต่างๆ สามารถปรับแต่งข้อความของตนให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ปัญหา : With a Problem
ฮีโร่ทุกคนพบกับอุปสรรคและความท้าทายตลอดการเดินทางของพวกเขา และเช่นเดียวกันกับลูกค้า องค์ประกอบที่สองของกรอบงาน SB7 เกี่ยวข้องกับการระบุปัญหาหรือจุดบอดที่ลูกค้าเผชิญ การยอมรับความท้าทายเหล่านี้ทำให้ธุรกิจสามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจและแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าพวกเขาเข้าใจความยากลำบากของพวกเขา ขั้นตอนนี้ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับผู้ชมเป้าหมายได้ลึกขึ้น เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าข้อกังวลของพวกเขาได้รับการตอบรับและแก้ไขแล้ว

3. พบกับคนช่วยเหลือ : Meet a guide who Understand their fear
ฮีโร่มักจะขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาหรือไกด์ที่ชาญฉลาดเพื่อผ่านความท้าทายของพวกเขา ในกรอบ StoryBrand SB7 องค์ประกอบที่สามมุ่งเน้นไปที่การแนะนำแบรนด์ให้เป็นแนวทางที่เข้าใจความกลัวและความกังวลของลูกค้า ด้วยการวางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็นแนวทางที่เอาใจใส่และมีความรู้ ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าของตนได้ ขั้นตอนนี้มีความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกลุ่มเป้าหมายและวางตำแหน่งแบรนด์ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชัน

4. ถึงเวลาวางแผน : WHO GIVES  THEM A PLAN
เมื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไกด์กับลูกค้าแล้ว องค์ประกอบที่สี่ของกรอบ SB7 จะเกี่ยวข้องกับการนำเสนอแผนที่ชัดเจนเพื่อช่วยให้ลูกค้าเอาชนะความท้าทายของตนได้ แผนนี้ควรระบุขั้นตอนและการดำเนินการที่จำเป็นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ด้วยการจัดเตรียมแผนงานสู่ความสำเร็จ ธุรกิจต่างๆ สามารถเพิ่มศักยภาพให้กับลูกค้าและบรรเทาความวิตกกังวลของพวกเขาได้ แผนการที่ชัดเจนช่วยให้ลูกค้ามั่นใจในความสามารถของแบรนด์ในการให้ผลลัพธ์และกระตุ้นให้พวกเขาดำเนินการ

5. ตัวเร่งให้ดำเนินการ : AND CALLS THEM TO ACTION
ในการเดินทางที่กล้าหาญใด ๆ ฮีโร่จะถูกเรียกให้ดำเนินการ เช่นเดียวกัน ในกรอบ StoryBrand SB7 องค์ประกอบที่ห้าเกี่ยวข้องกับการจูงใจลูกค้าให้ดำเนินการตามแผนที่นำเสนอ การสร้างคำกระตุ้นการตัดสินใจที่ดึงดูดใจ ธุรกิจต่างๆ สามารถกระตุ้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ของตน ซื้อสินค้า หรือทำตามขั้นตอนต่อไปที่ต้องการ คำกระตุ้นการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพควรชัดเจน โน้มน้าวใจ และสอดคล้องกับแรงบันดาลใจของลูกค้า

6. เดิมพัน: หลีกเลี่ยงความล้มเหลว : THAT HELPS THEM  AVOID FAILURE

การเดินทางของฮีโร่ทุกคนมาพร้อมกับความเสี่ยงและความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น องค์ประกอบที่หกของกรอบงาน SB7 มุ่งเน้นไปที่การเน้นส่วนเดิมพันที่เกี่ยวข้อง หากลูกค้าไม่สามารถดำเนินการหรือจัดการกับความท้าทายของตนได้ การแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงผลเสียของการอยู่เฉย ธุรกิจสามารถสร้างความรู้สึกเร่งด่วนและกระตุ้นให้ลูกค้าเอาชนะความกลัวได้ การเน้นย้ำถึงการสูญเสียหรือพลาดโอกาสที่อาจเกิดขึ้นช่วยให้ลูกค้าเข้าใจถึงความสำคัญของการดำเนินการ

7. พบกับความสำเร็จ :

Download Template StoryBrand

ปรัชญาสุนทรียศาสตร์

รับออกแบบ Graphic

รวมแนวคิด และปรัชญาทางสุนทรียะแต่ละยุคสมัย

บทความนี้ ได้รวบรวม แนวคิดและปรัชญาทางสุนทรียศาสตร์ พร้อมนักปรัชญาคนสำคัญที่ส่งผลและอิทธิพลต่อกัน ผสมผสานและทั้งขัดแย้ง หาแนวคิดมามาล้มล้างเกิดเป็นทฤษฎีใหม่

สุนทรียศาสตร์อัตถิภาวนิยมเป็นแขนงหนึ่งของปรัชญาที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะ ความงาม และการดำรงอยู่ของมนุษย์ แนวคิดอัตถิภาวนิยมถือกำเนิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 และแนวคิดหลักคือแนวคิดที่ว่ามนุษย์มีอิสระโดยพื้นฐาน แต่ก็ต้องรับผิดชอบในการสร้างความหมายในชีวิตด้วย ตามอัตถิภาวนิยม ศิลปะและความงามมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการดำรงอยู่ของมนุษย์ และประสบการณ์ทางสุนทรียะสามารถเปิดเผยความจริงพื้นฐานเกี่ยวกับสภาวะของมนุษย์ได้

Jean-Paul Sartre เป็นหนึ่งในนักปรัชญาอัตถิภาวนิยมที่มีชื่อเสียงที่สุดซึ่งเขียนเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์อย่างกว้างขวาง ในหนังสือของเขา “What is Literature?” ซาร์ตร์ให้เหตุผลว่าวรรณกรรมเป็นวิธีการแสดงแนวคิดอัตถิภาวนิยมเกี่ยวกับเสรีภาพและความรับผิดชอบของมนุษย์ เขาเชื่อว่าวรรณกรรมสะท้อนให้เห็นถึงความคลุมเครือของสภาพมนุษย์และการต่อสู้เพื่อสร้างความหมายในโลกที่ปราศจากความหมายโดยธรรมชาติ

ซาร์ตร์ยังโต้แย้งว่าศิลปะเป็นผลผลิตจากการรับรู้และการตีความของมนุษย์ เขาเชื่อว่าไม่มีความงามโดยธรรมชาติในวัตถุ แต่ความงามนั้นถูกสร้างขึ้นผ่านการรับรู้ ในแง่นี้ ประสบการณ์ทางสุนทรียะเป็นเรื่องส่วนตัวและเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการดำรงอยู่ของมนุษย์แต่ละคน ซาร์ตร์เชื่อว่าศิลปะสามารถเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับสภาพของมนุษย์ได้อย่างแม่นยำเพราะเป็นผลผลิตจากการตีความของมนุษย์

สุนทรียศาสตร์อัตถิภาวนิยมยังเน้นความสำคัญของความถูกต้องในงานศิลปะ ตามที่นักอัตถิภาวนิยมกล่าวว่าศิลปะที่แท้จริงมีลักษณะเฉพาะตัวและเป็นเอกลักษณ์ ศิลปะของแท้ไม่ใช่ผลผลิตจากการลอกเลียนแบบหรือเลียนแบบ แต่เป็นการแสดงออกและความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคล ในแง่นี้ ศิลปะที่แท้จริงสะท้อนแนวคิดอัตถิภาวนิยมเกี่ยวกับเสรีภาพและความรับผิดชอบของมนุษย์

โดยสรุป สุนทรียศาสตร์เชิงอัตถิภาวนิยมเป็นแนวทางเชิงปรัชญาเกี่ยวกับศิลปะและความงามที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างการดำรงอยู่ของมนุษย์กับประสบการณ์ทางสุนทรียะ ตามอัตถิภาวนิยมศิลปะสามารถเปิดเผยความจริงพื้นฐานเกี่ยวกับสภาพของมนุษย์ได้อย่างแม่นยำเพราะเป็นผลผลิตจากการตีความและการแสดงออกของมนุษย์ Jean-Paul Sartre เป็นหนึ่งในนักปรัชญาอัตถิภาวนิยมที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด ซึ่งเขียนเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์และความสัมพันธ์กับการดำรงอยู่ของมนุษย์อย่างกว้างขวาง

  1. ปรัชญากรีกโบราณ: รวมถึงผลงานของเพลโตและอริสโตเติล ผู้พัฒนาทฤษฎีที่มีอิทธิพลเกี่ยวกับธรรมชาติของความงามและประสบการณ์ทางสุนทรียะ

ปรัชญากรีกโบราณเป็นวิชาที่ครอบคลุมผลงานของนักคิดจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในกรีกโบราณตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตศักราชถึงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตศักราช เป็นช่วงเวลาที่มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อปรัชญาตะวันตก และแนวคิดทางปรัชญาที่สำคัญที่สุดบางอย่างในประเพณีตะวันตกก็ปรากฏขึ้นในช่วงเวลานี้

นักปรัชญาชาวกรีกโบราณที่มีอิทธิพลมากที่สุดสองคนคือเพลโตและอริสโตเติล ผู้พัฒนาทฤษฎีในหัวข้อต่างๆ มากมาย รวมถึงอภิปรัชญา จริยธรรม การเมือง และสุนทรียศาสตร์ ในแง่ของสุนทรียภาพ ทั้งเพลโตและอริสโตเติลต่างก็กล่าวถึงธรรมชาติของความงามและประสบการณ์ทางสุนทรียะไว้มากมาย

เพลโตเชื่อว่าความงามเป็นคุณภาพที่เป็นกลางซึ่งดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระจากการรับรู้ของแต่ละคน ในบทสนทนาที่โด่งดังของเขาที่ชื่อ Symposium เขาให้เหตุผลว่ารูปแบบความงามขั้นสูงสุดคือรูปแบบแห่งความงามเอง ซึ่งเป็นตัวตนนิรันดร์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งดำรงอยู่นอกโลกวัตถุ เพลโตเชื่อว่าจิตวิญญาณของมนุษย์มีความต้องการความงามโดยธรรมชาติ และการพบเจอกับสิ่งสวยงามสามารถช่วยชำระล้างและยกระดับจิตวิญญาณได้

ในทางกลับกัน อริสโตเติลกลับใช้วิธีเชิงประจักษ์มากขึ้นเพื่อสุนทรียศาสตร์ เขาเชื่อว่าความงามเป็นคุณสมบัติที่มีอยู่ในวัตถุที่รับรู้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการรับรู้ของแต่ละบุคคลด้วย ในบทกวีของเขา อริสโตเติลได้ระบุองค์ประกอบ 6 ประการที่นำไปสู่ประสบการณ์ทางสุนทรียะ ได้แก่ โครงเรื่อง ตัวละคร ความคิด ถ้อยคำ ทำนอง และปรากฏการณ์ เขาเชื่อว่างานศิลปะจะสวยงามหากสามารถบรรลุความสมดุลที่กลมกลืนกันขององค์ประกอบเหล่านี้

ทั้งเพลโตและอริสโตเติลต่างก็พูดถึงบทบาทของศิลปะในสังคมเป็นอย่างมาก เพลโตเชื่อว่าศิลปะมีอำนาจที่จะมีอิทธิพลต่อความคิดและอารมณ์ของผู้คน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐจะต้องควบคุมการผลิตและการบริโภคงานศิลปะ เขาวิจารณ์กวีที่มีชื่อเสียง ซึ่งเขาเชื่อว่ามักมีความผิดในการแสดงพฤติกรรมที่ผิดศีลธรรมหรือไม่เหมาะสม ในทางกลับกัน อริสโตเติลเชื่อว่าศิลปะมีพลังในการสร้างแรงบันดาลใจและให้ความรู้แก่ผู้คน และมันสามารถมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทางศีลธรรมและสติปัญญา

  • ปรัชญายุคกลาง: ในยุคกลาง นักปรัชญาเช่น Thomas Aquinas และ Augustine of Hippo ได้เขียนเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์และธรรมชาติของความงาม

ในปรัชญายุคกลาง โดยทั่วไปแล้ว สุนทรียศาสตร์มักถูกมองผ่านเลนส์ของศาสนศาสตร์และศาสนจักร แนวคิดก็คือว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งความงามขั้นสูงสุด และความงามนั้นเป็นภาพสะท้อนของสวรรค์ นักคิดในยุคกลาง เช่น โทมัส อควีนาส และออกัสตินแห่งฮิปโปได้เขียนเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์และธรรมชาติของความงามอย่างกว้างขวาง โดยมักจะรวมเอาแนวคิดทางเทววิทยาเข้ากับทฤษฎีของพวกเขา

โทมัส อควีนาส นักศาสนศาสตร์และนักปรัชญาคนสำคัญแห่งศตวรรษที่ 13 แย้งว่าความงามเป็นคุณสมบัติเหนือธรรมชาติของการดำรงอยู่ ตามคำกล่าวของควีนาส ทุกสิ่งที่มีอยู่มีคุณสมบัติเหนือธรรมชาติสามประการ ได้แก่ ความเป็นอยู่ ความจริง และความดี เขาเชื่อว่าความงามเป็นคุณสมบัติที่เกิดจากความสัมพันธ์ที่กลมกลืนระหว่างตัวตน ความจริง และความดี ในแง่นี้ ความงามถูกมองว่าเป็นทรัพย์สินทางวัตถุของโลกที่สามารถค้นพบได้ด้วยเหตุผลและการไตร่ตรอง

ออกัสตินแห่งฮิปโป นักศาสนศาสตร์และนักปรัชญาผู้มีอิทธิพลในศตวรรษที่ 4 และ 5 ได้เขียนเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์และความงามด้วย ออกัสตินเชื่อว่าความงามคือการแสดงออกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และประสบการณ์แห่งความงามจะนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้า เขาแย้งว่าความงามสามารถพบได้ทั้งในโลกธรรมชาติและในศิลปะ และประสบการณ์แห่งความงามสามารถยกระดับจิตวิญญาณและนำไปสู่การตรัสรู้ทางจิตวิญญาณ

โดยสรุป ปรัชญายุคกลางเข้าถึงสุนทรียศาสตร์ผ่านเลนส์เทววิทยา โดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่างความงามกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ Thomas Aquinas และ Augustine of Hippo เป็นนักคิดที่โดดเด่นสองคนที่เขียนเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์และความงามอย่างกว้างขวาง และทฤษฎีของพวกเขายังคงมีอิทธิพลต่อการอภิปรายเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ในปัจจุบัน

  • แนวจินตนิยม: นี่คือการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 ที่เน้นอารมณ์ จินตนาการ และปัจเจกนิยมในงานศิลปะ

ลัทธิจินตนิยมเป็นการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในยุโรปและอเมริกาในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 ลักษณะเด่นคือเน้นที่อารมณ์ จินตนาการ และปัจเจกนิยมในงานศิลปะ วรรณกรรม และดนตรี ชาวโรแมนซ์ปฏิเสธการเน้นย้ำเรื่องเหตุผลและความมีเหตุมีผลของการตรัสรู้ แทนที่จะนิยมสัญชาตญาณ ความเป็นธรรมชาติ และประสบการณ์ส่วนตัว

ประเด็นสำคัญประการหนึ่งของลัทธิจินตนิยมคือการเฉลิมฉลองธรรมชาติและโลกธรรมชาติ ศิลปินและนักเขียนแนวโรแมนติกพยายามที่จะจับภาพความงามและพลังของธรรมชาติ โดยมักจะพรรณนาในลักษณะที่สง่างามหรือน่าเกรงขาม การให้ความสำคัญกับธรรมชาตินี้มักเชื่อมโยงกับการปฏิเสธอุตสาหกรรมและผลกระทบด้านลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งของลัทธิจินตนิยมคือการสำรวจตนเองและปัจเจกบุคคล ชาวโรแมนติกปฏิเสธแนวคิดที่ว่าปัจเจกชนเป็นเพียงผลผลิตจากสิ่งแวดล้อมหรือชนชั้นทางสังคมของพวกเขา และแทนที่จะเฉลิมฉลองพลังแห่งจินตนาการของแต่ละคนและความสำคัญของประสบการณ์ส่วนตัว สิ่งนี้นำไปสู่การมุ่งเน้นไปที่ปัจเจกนิยมในศิลปะ วรรณกรรม และดนตรี และความหลงใหลในแง่มุมทางจิตใจและอารมณ์ของประสบการณ์ของมนุษย์

แนวจินตนิยมยังโดดเด่นด้วยความหลงใหลในอดีตโดยเฉพาะยุคกลางและยุคโกธิค ศิลปินและนักเขียนแนวโรแมนติกมักได้รับแรงบันดาลใจจากช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ โดยผสมผสานองค์ประกอบเหนือธรรมชาติ ความลึกลับ และสิ่งแปลกใหม่เข้ากับผลงานของพวกเขา

  • ลัทธิปฏิบัตินิยม: นี่คือการเคลื่อนไหวทางปรัชญาที่เน้นผลในทางปฏิบัติของความคิดและทฤษฎี ในด้านสุนทรียศาสตร์ นักปฏิบัติ เช่น จอห์น ดิวอี้ ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของศิลปะและวิธีการที่ศิลปะสามารถยกระดับชีวิตมนุษย์ได้

ลัทธิปฏิบัตินิยมเป็นขบวนการทางปรัชญาที่เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20ส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เน้นผลในทางปฏิบัติของความคิดและทฤษฎี และเน้นความสำคัญของการทดลอง การสังเกต และประสบการณ์ในการพิจารณาความจริงหรือประโยชน์ของแนวคิดหรือทฤษฎี

ในด้านสุนทรียศาสตร์ นักปฏิบัติ เช่น จอห์น ดิวอี้ ได้นำการเน้นประสบการณ์นี้มาใช้กับขอบเขตของศิลปะ พวกเขาแย้งว่าคุณค่าของศิลปะไม่ได้อยู่ที่คุณสมบัติที่เป็นทางการ แต่อยู่ที่ประสบการณ์ที่ผู้ชมหรือผู้ฟังมอบให้ ดิวอี้เชื่อว่าประสบการณ์ของศิลปะสามารถยกระดับชีวิตมนุษย์ได้โดยการทำให้ความเข้าใจของเราลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับโลกและสถานที่ของเราในโลกนี้

สำหรับดิวอี้ ประสบการณ์ทางศิลปะเกี่ยวข้องกับกระบวนการโต้ตอบระหว่างงานศิลปะกับผู้ชมหรือผู้ฟัง เขาเชื่อว่าปฏิสัมพันธ์นี้ควรเป็นแบบเชิงรุกมากกว่าเชิงรับ และควรเกี่ยวข้องกับทั้งบุคคล รวมถึงอารมณ์ ความคิด และประสาทสัมผัสของเรา ดิวอี้มองว่าประสบการณ์ศิลปะเป็นกิจกรรมการแก้ปัญหาชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้ชมหรือผู้ฟังมีส่วนร่วมกับงานศิลปะเพื่อสร้างความหมายและความเข้าใจ

นอกเหนือจากการเน้นประสบการณ์ของศิลปะแล้ว สุนทรียศาสตร์เชิงปฏิบัติยังเน้นบริบททางสังคมและวัฒนธรรมซึ่งศิลปะถูกสร้างขึ้นและมีประสบการณ์ นักปฏิบัตินิยมแย้งว่าศิลปะไม่ใช่หมวดหมู่ที่เป็นอมตะและเป็นสากล แต่ถูกหล่อหลอมโดยบริบททางสังคมและประวัติศาสตร์ที่สร้างสรรค์และมีประสบการณ์

โดยรวมแล้ว สุนทรียศาสตร์ที่เน้นการปฏิบัติจริงเน้นผลในทางปฏิบัติของศิลปะและความสำคัญของประสบการณ์ในการกำหนดคุณค่าและความหมายของศิลปะ เน้นการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของผู้ชมหรือผู้ฟังกับงานศิลปะ และเน้นบริบททางสังคมและประวัติศาสตร์ที่ศิลปะถูกสร้างขึ้นและมีประสบการณ์

  • Formalist : นี่คือทฤษฎีสุนทรียะที่เน้นคุณสมบัติที่เป็นทางการของศิลปะ เช่น เส้น รูปร่าง และสี มากกว่าเนื้อหาหรือความหมายของมัน

ลัทธิฟอร์มัลลิสม์เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และมีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ศิลปะ การวิจารณ์วรรณกรรม และการศึกษาภาพยนตร์ นักนิยมลัทธินิยมโต้แย้งว่าคุณค่าของศิลปะอยู่ที่คุณสมบัติที่เป็นทางการ เช่น เส้น รูปร่าง สี และพื้นผิว มากกว่าเนื้อหาหรือความหมายของมัน

นักวิจารณ์ที่เป็นทางการเชื่อว่าองค์ประกอบที่เป็นทางการของงานศิลปะเป็นวิธีหลักในการสื่อสารกับผู้ชมหรือผู้อ่าน พวกเขาให้เหตุผลว่าการวิเคราะห์คุณสมบัติที่เป็นทางการของงานจะทำให้เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่างานนั้นทำหน้าที่เป็นงานศิลปะอย่างไร และงานนั้นสร้างความหมายและความสำคัญอย่างไร

ลัทธิทางการมักจะเกี่ยวข้องกับโรงเรียนวิจารณ์วรรณกรรมแบบทางการของรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นักพิธีการชาวรัสเซียเช่น Viktor Shklovsky และ Roman Jakobson เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำให้คุ้นเคย หรือการทำให้คนคุ้นเคยดูเหมือนไม่คุ้นเคย ในการสร้างความรู้สึกในรูปแบบศิลปะ พวกเขาแย้งว่าการดึงความสนใจไปที่คุณสมบัติที่เป็นทางการของงานศิลปะ เราสามารถทำลายวิธีการมองและสัมผัสโลกที่เคยเป็นนิสัยของเรา และได้รับข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ เกี่ยวกับความเป็นจริง

ในทัศนศิลป์ นักวิจารณ์ที่เป็นทางการมักจะเน้นไปที่วิธีที่ศิลปินใช้เส้น รูปร่าง สี และพื้นผิวเพื่อสร้างเอฟเฟ็กต์ภาพและสื่อความหมาย พวกเขาวิเคราะห์คุณสมบัติที่เป็นทางการของงานศิลปะเพื่อที่จะเข้าใจว่ามันสร้างประสบการณ์ทางภาพให้กับผู้ชมได้อย่างไร

  • ลัทธิมาร์กซ์: สุนทรียศาสตร์ของมาร์กซิสต์มองว่าศิลปะเป็นผลผลิตของพลังทางสังคมและเศรษฐกิจ และเน้นย้ำถึงแนวทางที่ศิลปะสะท้อนและสนับสนุนการต่อสู้ทางชนชั้น

สุนทรียศาสตร์แบบมาร์กซิสต์เป็นทฤษฎีเชิงวิพากษ์ที่มองว่าศิลปะเป็นผลผลิตของพลังทางสังคมและเศรษฐกิจ และเน้นย้ำถึงแนวทางที่ศิลปะสะท้อนและเสริมการต่อสู้ทางชนชั้น สุนทรียศาสตร์ของมาร์กซิสต์มีพื้นฐานมาจากแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ และฟรีดริช เองเงิลส์ ซึ่งแย้งว่าการผลิตทางวัฒนธรรมทั้งหมด รวมทั้งศิลปะ ถูกกำหนดขึ้นโดยเงื่อนไขทางวัตถุของสังคม

นักทฤษฎีมาร์กซิสต์โต้แย้งว่าศิลปะไม่ใช่ขอบเขตที่เป็นกลางหรือเป็นอิสระจากกิจกรรมของมนุษย์ แต่กลับเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับความสัมพันธ์ทางสังคมและเศรษฐกิจ พวกเขาโต้แย้งว่าศิลปะเกิดขึ้นภายในระบบความสัมพันธ์ทางชนชั้น และสะท้อนและเสริมความสนใจและค่านิยมของชนชั้นปกครอง สุนทรียศาสตร์แบบมาร์กซิสต์จึงมองว่าศิลปะเป็นสถานที่แห่งการต่อสู้ซึ่งแสดงความสนใจทางชนชั้นที่แตกต่างกัน

สุนทรียศาสตร์แบบมาร์กซิสต์เน้นย้ำถึงบทบาทของอุดมการณ์ในการกำหนดรูปแบบการผลิตและการต้อนรับศิลปะ นักทฤษฎีมาร์กซิสต์โต้แย้งว่าศิลปะไม่ได้เป็นเพียงภาพสะท้อนของความเป็นจริง แต่แทนที่จะเป็นรูปแบบของการเป็นตัวแทนที่สร้างและเสริมวิธีการมองโลกแบบเฉพาะเจาะจง พวกเขาโต้แย้งว่าศิลปะสามารถใช้เพื่อท้าทายอุดมการณ์ที่ครอบงำและส่งเสริมวิธีคิดและการใช้ชีวิตทางเลือก

สุนทรียศาสตร์แบบมาร์กซิสต์มีอิทธิพลในหลายสาขา รวมถึงประวัติศาสตร์ศิลปะ การวิจารณ์วรรณกรรม และการศึกษาภาพยนตร์ นักวิจารณ์มาร์กซิสต์ได้วิเคราะห์การผลิตทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่ศิลปะยุคกลางไปจนถึงภาพยนตร์และโทรทัศน์ร่วมสมัย และได้พยายามทำความเข้าใจวิธีที่ศิลปะสะท้อนและส่งเสริมความสัมพันธ์ทางชนชั้น

  • สุนทรียศาสตร์อัตถิภาวนิยม: ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ นี่คือแนวทางเชิงปรัชญาเกี่ยวกับศิลปะและความงามที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างการดำรงอยู่ของมนุษย์และประสบการณ์ทางสุนทรียะ

สุนทรียศาสตร์อัตถิภาวนิยมเป็นแนวทางเชิงปรัชญาเกี่ยวกับศิลปะและความงามที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างการดำรงอยู่ของมนุษย์และประสบการณ์ทางสุนทรียะ นักคิดอัตถิภาวนิยม เช่น ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ และมาร์ติน ไฮเดกเกอร์ แย้งว่ามนุษย์ดำรงอยู่ในสภาวะวิกฤตแห่งการดำรงอยู่ ซึ่งเรากำลังเผชิญกับคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของเราและความหมายของชีวิตเรา

สุนทรียศาสตร์อัตถิภาวนิยมเน้นประสบการณ์เชิงอัตวิสัยของผู้ชมหรือผู้อ่านแต่ละคน และวิธีที่ศิลปะสามารถจัดเตรียมวิธีการเผชิญหน้าและตกลงกับคำถามที่มีอยู่จริงของการดำรงอยู่ของมนุษย์ นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงบทบาทของศิลปินในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่ถ่ายทอดความกังวลที่มีอยู่เหล่านี้ และวิธีการที่ศิลปะสามารถเป็นรูปแบบหนึ่งของการแสดงตัวตนที่แท้จริง

สุนทรียศาสตร์อัตถิภาวนิยมยังเน้นความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับเสรีภาพ นักคิดอัตถิภาวนิยมแย้งว่าประสบการณ์ของศิลปะสามารถปลดปล่อยได้ เพราะมันช่วยให้เราหลุดพ้นจากข้อจำกัดในชีวิตประจำวันของเรา และเผชิญหน้ากับคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของเรา พวกเขายังโต้แย้งว่าการสร้างสรรค์งานศิลปะเป็นการแสดงเสรีภาพ เนื่องจากศิลปินสามารถแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงและสร้างสรรค์สิ่งใหม่และไม่เหมือนใคร

  • ปรัชญาสุนทรียศาสตร์แนวประจักษ์นิยม 

ลัทธินิยมนิยมเป็นแนวทางปรัชญาที่เน้นบทบาทของประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและการสังเกตในการได้มาซึ่งความรู้ ในด้านสุนทรียศาสตร์ นักทดลองเช่น จอห์น ล็อค และ เดวิด ฮูม มุ่งเน้นไปที่วิธีการตัดสินทางสุนทรียศาสตร์โดยพิจารณาจากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและอารมณ์ที่กระตุ้นโดยผลงานศิลปะ

สุนทรียศาสตร์เชิงประจักษ์โต้แย้งว่าคุณค่าทางสุนทรียะของงานศิลปะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ส่วนบุคคลของผู้ชม และไม่มีมาตรฐานสากลสำหรับการตัดสินทางสุนทรียศาสตร์ สำหรับนักนิยมประสบการณ์ ความงามไม่ใช่คุณสมบัติโดยธรรมชาติของวัตถุ แต่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่กำหนดโดยการตอบสนองทางประสาทสัมผัสและอารมณ์ของแต่ละบุคคล

สุนทรียศาสตร์เชิงประจักษ์ยังเน้นถึงความสำคัญของประสาทสัมผัสในการสร้างสรรค์และการรับศิลปะ นักนิยมนิยมให้เหตุผลว่าศิลปินใช้ประสาทสัมผัสเป็นวิธีการแสดงความคิดและอารมณ์ และผู้ชมใช้ประสาทสัมผัสเพื่อมีส่วนร่วมและชื่นชมผลงานศิลปะ

โดยรวมแล้ว สุนทรียศาสตร์เชิงประจักษ์เป็นแนวทางเชิงปรัชญาที่เน้นบทบาทของประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและการสังเกตในการได้มาซึ่งความรู้ และใช้สิ่งนี้กับขอบเขตของศิลปะและความงาม สุนทรียศาสตร์แบบประจักษ์นิยมเน้นลักษณะอัตวิสัยของการตัดสินทางสุนทรียะ ความสำคัญของประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสส่วนบุคคลในการสร้างสรรค์และการรับงานศิลปะ และความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและการตอบสนองทางอารมณ์ในการชื่นชมสุนทรียภาพ

Byline : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

John Wick แนวไอเดียในการออกแบบ Poster

รับออกแบบ Graphic

John Wick Poster กับแนวทางการออกแบบ

การออกแบบโปสเตอร์ภาพยนตร์สำหรับ John Wick จำเป็นต้องใส่ใจธีม สไตล์ และตัวละครของภาพยนตร์อย่างระมัดระวัง ต่อไปนี้เป็นแนวคิดและหลักการในการออกแบบที่ควรพิจารณาเมื่อสร้างโปสเตอร์ภาพยนตร์ John Wick:

  1. เน้นตัวละครหลัก: John Wick เป็นตัวละครที่มีชื่อเรื่องของภาพยนตร์ และโปสเตอร์ควรสะท้อนถึงบทบาทของเขาในเรื่อง ลองใช้ภาพลักษณ์ที่โดดเด่นของ Keanu Reeves ในชุดสูทและเน็คไทอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา โดยแสดงอาวุธที่เขาเลือกไว้อย่างเด่นชัด

2. เลือกโทนสีที่เหมาะกับอารมณ์: John Wick เป็นภาพยนตร์แอคชั่นที่ดุดันและเข้มข้น ดังนั้น ลองใช้สีเข้ม เช่น สีดำ สีชาร์โคล หรือสีแดงเข้มเพื่อสื่อถึงอันตรายและความตื่นเต้น

3. ใช้ตัวพิมพ์เพื่อประโยชน์ของคุณ: ชื่อภาพยนตร์ควรเป็นข้อความที่โดดเด่นที่สุดบนโปสเตอร์และควรอ่านง่าย พิจารณาใช้ฟอนต์ sans-serif ตัวหนาเพื่อทำให้โดดเด่น

4. เพิ่มความน่าสนใจด้วยแท็กไลน์: แท็กไลน์คือวลีสั้นๆ ที่สรุปโครงเรื่องหรือธีมของภาพยนตร์ สำหรับ John Wick สโลแกนเช่น “บูกี้แมนกลับมาแล้ว” หรือ “อย่ายุ่งกับหมาของผู้ชาย” อาจกระตุ้นความสนใจของผู้ชมได้

5. รวมองค์ประกอบสำคัญของโครงเรื่อง: โปสเตอร์ควรทำให้ผู้ชมเข้าใจถึงสิ่งที่พวกเขาคาดหวังได้จากภาพยนตร์ พิจารณารวมภาพที่สะท้อนถึงธีมและฉากของภาพยนตร์ เช่น วิวเมืองหรือกระสุน

6. ภาพและข้อความสมดุล: โปสเตอร์ภาพยนตร์ที่ดีควรมีลำดับชั้นของข้อมูลที่ชัดเจน โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดที่โดดเด่น ใช้เลย์เอาต์และสีเพื่อสร้างความสมดุลให้กับรูปภาพและข้อความ และหลีกเลี่ยงการยัดเยียดโปสเตอร์ด้วยข้อมูลที่มากเกินไป

7. สร้างการออกแบบที่เหนียวแน่น: องค์ประกอบทั้งหมดของโปสเตอร์ควรทำงานร่วมกันเพื่อสร้างการออกแบบที่เหนียวแน่นซึ่งสะท้อนถึงโทนสีและสไตล์ของภาพยนตร์ ใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ เช่น การจัดแสงและองค์ประกอบเพื่อสร้างรูปลักษณ์ที่สวยงามและเป็นมืออาชีพ

byline : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิสิฐ ตั้งพรประเสริฐ

ภาพแทนความจริง Representation สู่ วัฒนธรรมทางสายตา Visual Culture  

web design

จากภาพแทนความจริง Representation สู่ วัฒนธรรมทางสายตา Visual Culture  

ศิลปะการเดินทางได้ผ่านช่วงเวลาที่สำคัญ ๆ ในยุโรป ตั้งแต่อาณาจักรกรีก โรมันและยุคมืด สำนึกหรือมโนทัศน์ คำว่า “ศิลปะ” คือ เครื่องมือนำเสนอความจริงหรือที่ถูกเรียกว่า Representation ภาพแทนความจริง มาโดยตลอด การเป็นตัวแทนในงานศิลปะ หมายถึง การพรรณนาโลกภายนอกในรูปแบบที่สร้างการจดจำแบบภาษาภาพด้วยงานศิลปะ ภาพแทนสามารถเป็นจริงหรือทำให้เป็นอุดมคติก็ได้ และมีได้หลายรูปแบบ อาทิ ภาพวาด ประติมากรรม การเป็นตัวแทนเป็นลักษณะในพื้นฐานของศิลปะจะถูกนำมาใช้เพื่อพรรณนาถึงวัตถุต่างๆ มาโดยตลอดประวัติศาสตร์ อาทิการนำเสนอคุณสมบัติของพระเจ้า ที่มักใช้กันในยุคกลาง ทำให้สำนึกรู้ของคนยุโรปในยุคนั้นว่า ความรู้เท่ากับความดี ทุกครั้งที่การปรากฏตัวขึ้นของภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในพระคัมภีร์ นั่นเท่ากับผู้คนในสังคมเข้าถึงความจริงผ่านรูปภาพแทนตัวอักษร (คนในสมัยนั้นการอ่านยังน้อยมาก โดยเฉพาะสตรีเพศที่ห้ามอ่านพระคัมภีร์) มันทำให้สำนึกการเรียนรู้หรือความรู้ไปผูกกับความดี พ่วงมาด้วยคำอธิบายต่อสิ่งที่ผิดปกติทางธรรมชาติด้วยเหตุผลทางพระผู้สร้างผ่านภาพเขียน หรือจะสรุปได้คือ Natural ยังไม่ได้แยกออกจาก Culture (มาแยกกันในช่วงยุคแห่งวิทยาศาสตร์ที่ต่างใช้เครื่องมือกันคนละแบบในการเข้าถึงความจริง) จากปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้เห็นถึง “การมอง” เป็นใหญ่ มีอิทธิพลต่อการสร้างการรับรู้ของสังคมยุโรปเสมอมา ต่อมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เกิดวิกฤตของการสร้างภาพแทน การเสนอภาพตัวแทน ตั้งอยู่บนสมมุติธรรมที่ว่า มีความจริงอยู่ข้างนอก (the truth is out there) ที่จะถูกนำมาเสนอใหม่แต่นักคิดแนวหลังสมัยใหม่เชื่อว่า ความจริงไม่ได้มาก่อนการเสนอภาพตัวแทน แต่การเสนอภาพตัวแทนต่างหากที่สร้างความจริงที่มันต้องการถ่ายทอดขึ้นมา เพราะฉะนั้นการเสนอภาพตัวแทนขึ้นเป็นสมมุติธรรมที่ผิด เพราะแท้ที่จริงแล้วการเสนอภาพตัวแทนทุกอย่างขึ้นภาพตัวแทนอีกอันหนึ่ง ไม่ได้เป็นตัวแทนความจริงโดยตรงแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นนักคิดหลังสมัยใหม่เชื่อว่าต้นฉบับไม่มีอยู่จริง ฉะนั้นนักคิดหลังสมัยใหม่เสนอวิธีวิทยาใหม่เข้ามาแทนที่คือ เสนอวิธีรื้อสร้าง และการตีความด้วยญาณทัศนะ (Intuitive Interpretation) (จันทนี เจริญศรี, 2544) จากการตั้งคำถามแนวคิดของ เดส์การตส์ (Descartes) นำมาสู่ปัญหาทางญาณวิทยาเพราะการเติบโตทางความรู้แบบวิทยาศาสตร์ที่เหตุผลอันนำมาสู่ความรู้ความเข้าใจของมนุษย์เป็นศูนย์กลาง บรูโน ลาตูร์ (Bruno Latour) กับงานเขียน “Ontological Turn” เสนอให้แยกเครื่องมือการเข้าถึงความรู้ ควาวมจริงใหม่ระหว่างวิทยาศาสตร์กับปรัชญาทางสังคมศาสตร์และมนุษย์วิทยา โดยให้วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือสำหรับการศึกษาเกี่ยวกับความจริงในธรรมชาติ ส่วนเครื่องมือทางปรัชญา มานุษยวิทยาศึกษาการรับรู้โลก หรือโลกทัศน์ โดยมีความเชื่อว่าผู้คนแต่ละหน่วยสังคมมีวิธีการเข้าใจ รับรู้โลกที่ต่างกัน (Worldview) (เก่งกิจ กิติเรียงลาภ, 2562) สิ่งนี้เราเรียกว่า สัญญะ (Semiotics) เพราะสังคมในยุคหลังสมัยใหม่เป็นช่วงแห่งการบริโภคสัญญะมากกว่าความจริงในตัววัตถุ ผู้คนในสังคมหยุดการค้นหาความจริงเชิงเหตุผลกับความเข้าใจระหว่างการรับรู้ที่มีต่อโลกและการเชื่อมโยงกับวัตถุหรือเหตุผลการมีอยู่ของวัตถุ (Exist – Object Oriented Ontology) การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในกระแสความคิดทางสังคมศาสตร์ของตะวันตกที่อาจนับได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของแนวคิดหลังสมัยใหม่ ก็คือการปฏิวัติทางภาษา Linguistic Turn (จันทนี เจริญศรี, 2544) มันทำให้ห้วงเวลาอย่างหลังสมัยใหม่เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับภาพแทน (Representativeness) บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการนำเสนอแนวคิดนี้คือ  ของ เฟอร์ดินาน เดอ โซซูร์ (Ferdinand de Saussure) (Daniel F M Strauss, 2013) กล่าวถึง การเข้าใจและการรับรู้โลกในช่วงหลังสมัยใหม่ คือ มนุษย์รับรู้ผ่านภาษา และหน่วยย่อยของภาษาถูกบริหารจัดการด้วยสัญญะ ก่อเกิดเป็นการศึกษาสัญญะ เรียกว่า สัญวิทยา (Semiotics) เกิดขึ้น ว่าด้วย การทำงานของสัญญะ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ รูปสัญญะ Signified และความหมายของสัญญะ Signifier ซึ่งทั้ง 2 ทำงานเหมือนกระดาษ 2 หน้าสลับกัน รูปสัญญะจะคงที่ตามรูปที่มันแสดงแต่ตัวรูปไม่สามารถให้ความหมายที่คงตัวได้หากปราศจากความหมายสัญญะที่ให้มัน ซึ่งความหมายเหล่านี้ไม่ได้มาจากไหนไกล มันคือกลไกที่หน่วยในสังคมจัดสร้างให้กับมัน นี่เองที่ ลาตูร์ ต้องการแยกความจริงด้านมนุษยวิทยาออกจากวิทยาศาสตร์ เพราะมันเลื่อนไหลหาความจริงแท้ไม่ได้ มนุษย์จึงมีพลวัตรไปตามการควบคลุมผ่านภาษาหาใช่เหตุผลอย่างที่ เดอการ์ตส์ ว่าไว้ อันนี้คือทางแยกและรอยต่อไปสู่สังคมบริโภคสัญญะจากหลังสมัยใหม่ Post Modern สู่ความเข้าใจในสำนึกในช่วงร่วมสมัย และในช่วงนี้เองจากประเด็นที่อธิบายมาทั้งหมดในฝั่งนักประวัติศาสตร์ศิลปะ-สังคมวิทยา มีการเคลื่อนไหวในการเสนอวิธีการทำความเข้าใจศิลปะในช่วงร่วมสมัย คือ ให้ใช้ Visual Culture แทน History of Art โดยที่ การมอง (Visual) เท่ากับ ศิลปะ วัฒนธรรม (Culture) เท่ากับ ประวัติศาสตร์ (History)

วัฒนธรรมภาพ Visual Culture : ผู้บุกเบิกวัฒนธรรมภาพในยุคแรกๆ อีกคนหนึ่งคือ W.J.T. Mitchell นักประวัติศาสตร์ศิลปะและนักวิจารณ์วัฒนธรรมชาวอเมริกัน (M.Joanne and S.Marquard,2006) มิตเชลล์เป็นที่รู้จักจากการบัญญัติคำว่า “ภาพ” และงานของเขามุ่งเน้นไปที่วิธีการที่ภาพมีบทบาทในวัฒนธรรมและสังคม มิทเชลเขียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมภาพอย่างกว้างขวาง และหนังสือ “ทฤษฎีภาพ” ในปี 1994 ของเขาถือเป็นข้อความพื้นฐานในสาขานี้ สิ่งสำคัญที่ต้องกล่าวถึงก็คือ คำว่า ‘วัฒนธรรมภาพ’ ยังสามารถหมายถึงการศึกษาการสื่อสารด้วยภาพและสัญศาสตร์ซึ่งมีรากเหง้าและจุดกำเนิดที่แตกต่างกัน ซึ่งย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดย Roland Barthes, Umberto Eco และ Charles Sanders Peirce โดยรวมแล้ว คำว่า “วัฒนธรรมภาพ” เริ่มแพร่หลายในปลายศตวรรษที่ 20 ในประวัติศาสตร์ศิลปะและทัศนศึกษา และถูกนำมาใช้โดยนักวิชาการและผู้ปฏิบัติงานในหลากหลายสาขาวิชา John Berger และ W.J.T Mitchell ถือเป็นบุคคลสำคัญสองคนที่พัฒนาการศึกษาวัฒนธรรมภาพ

หรือจะเรียกได้ว่าสังคมวิทยาแบบวิทยาศาสตร์ กำลังสร้างเรื่องเล่าขนาดใหญ่ (Grand Narrative) นักสังคมวิทยาหลังสมัยใหม่ อย่าง มิเชล ฟูโก (Michel Foucaul) และ นิชเช่ (Nietzsche) ที่ซึ่งทั้งคู่พูดถึงอำนาจที่เป็นข้อสังเกตจากความล้มเหลวทางโครงสร้าง(Structure) เดิมของสังคมแบบสมัยใหม่ ว่าด้วยสังคมวิทยาแบบวิทยาศาสตร์กำลังสร้างตัวบทชนิดหนึ่ง ที่พยายามจัดระเบียบโลกด้วยเหตุผล แต่ความเป็นจริงระเบียบดังกล่าวไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงการสร้างอุดมการณ์ของผู้มีอำนาจที่พยายามสร้างแผนที่ของโลกทางสังคมเพื่อการควบคลุมสังคม สิ่งเหล่านี้เองที่ Post Modern มาเพื่อรื้อทอน (Deconstruction) เพื่อเผยให้เห็นความจริงที่เป็นเรื่องเล่าขนาดใหญ่ให้ถูกลดทอนลงมาเป็นหน่วนย่อยอย่างที่ ลาตูร์ เสนอให้แยกเครื่องมือกันเข้าถึงการรับรู้โลกหลังสมัยใหม่ (จันทนี เจริญศรี, 2544)

พัฒนาการของเรื่องเล่าขนาดใหญ่ในปลายศตวรรษที่ 20 ยุคแห่งสื่อสารมวลชน สื่อมีอิทธิพล และมีบทบาทโดยเฉพาะสังคมวิทยาร่วมสมัย ด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเข้ามาปฏิวัติการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร One to Many เป็น Many to one รวมถึงอิทธิพลทางศิลปกรรมที่หลานศิลปินหยิบยกและพูดถึงการตีความ วัฒนธรรมภาพ Visual Culture ร่วมสมัย หมายถึงวิธีการที่จินตภาพและการเป็นตัวแทนเป็นตัวกำหนดวิธีที่เราเข้าใจโลกรอบตัว ผ่านต่างๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพถ่าย วิดีโอ สื่อดิจิทัล โดยเฉพาะเทคโนโลยีภาพรูปแบบอื่นๆ ในงานศิลปะ Media Art แบบฉบับแนวคิดร่วมสมัยที่สำคัญคือการใช้ประเด็นทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมผ่านการใช้ภาษาภาพที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและผลกระทบต่อสังคม นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับบทบาทของสื่อมวลชนและวิธีที่สื่อกำหนดการรับรู้เกี่ยวกับโลก

วลีสำคัญที่สะท้อนสังคมร่วมสมัยด้วยอิทธิพลการมาถึงของเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต (Internet Revolution) “สื่อคือข้อความ” “Medium is The Message”เป็นวลีสำคัญของ Marshall McLuhan นักปรัชญาและนักทฤษฎีการสื่อสารชาวแคนาดา ในหนังสือของเขา “Understanding Media: The Extensions of Man” ที่ตีพิมพ์ในปี 1964 McLuhan แย้งว่าสื่อที่สื่อผ่านข้อความคือ สำคัญพอๆ กับตัวข้อความ เพราะมันเป็นตัวกำหนดวิธีที่เราตีความและเข้าใจข้อมูลที่กำลังสื่อ (Sayar Ahmad Mir, 2020)ตัวอย่างเช่น สื่อของภาพวาดช่วยให้ศิลปินสามารถสื่อความหมายผ่านการใช้สี การจัดองค์ประกอบ และพู่กัน ในขณะที่สื่อของภาพถ่ายสื่อความหมายผ่านการใช้แสง เปอร์สเปคทีฟ และการจับภาพช่วงเวลาหนึ่ง ประเด็นของ McLuhan คือสื่อเหล่านี้หล่อหลอมการรับรู้และความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโลก และตัวสื่อเองก็คือข่าวสาร McLuhan ยังเชื่อด้วยว่าสื่อใหม่แต่ละรายการมีผลกระทบต่อสังคมและวัฒนธรรม ก่อให้เกิดวิธีคิดและการใช้ชีวิตแบบใหม่ เขาวางตัวว่าสื่อใหม่สร้างและขยายขีดความสามารถของมนุษย์ และในแง่หนึ่งก็เปลี่ยนวิธีคิดและการใช้ชีวิตในทางสังคมแบบร่วมสมัย